
ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงครามมีการซื้อขายปลาหมอคางดำเฉพาะในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำเท่านั้น แต่ในคลองธรรมชาติไม่มีการจับขาย ส่วนในพื้นที่สมุทรสาครเรือประมงอวนรุนสามารถจับในชายฝั่งได้มาก แต่เมื่อน้ำขึ้นปลาหมอคางดำก็ขึ้นมาในคลองธรรมชาติ ซึ่งหากทำตามข้อเสนอเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ใช้เงินเพียง 100 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งตอนนี้อาจต้องใช้เงินมากกว่า 1,000 ล้านบาทถึงจะแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งรัฐจะต้องเปิดเผยข้อเท็จจริง ไม่ใช่เพียงการปักป้ายถ่ายภาพแล้วบอกกับสังคมว่า “ปลาหมอคางดำหมดไปจากพื้นที่แล้ว”
ปลาหมอคางดํา หรือ Blackchin tilapia จัดอยู่ในวงศ์ Cichlidae เช่นเดียวกับปลาหมอเทศ และปลาหมอสี ปลาชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่น้ำกร่อยปากแม่น้ำ สามารถทนทานความเค็มได้สูง พวกมันจึงพบแพร่กระจายตลอดแนวชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทวีป
ที่ผ่านมา พบการนําเข้าพันธุ์ปลาหมอคางดําในหลายประเทศ ทั้งอเมริกา ยุโรป เอเชีย และพบมีรายงานการเป็นสัตว์น้ำต่างถิ่นรุกราน ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา และฟิลิปปินส์
สำหรับประเทศไทย ข้อมูลของ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ระบุ เมื่อปี 2549 คณะกรรมการด้านความหลากหลายและความปลอดภัยทางชีวภาพของกรมประมง (IBC) มีมติอนุญาตให้บริษัทเอกชนนำเข้าปลาหมอคางดำจากสาธารณรัฐกานา ทวีปแอฟริกา เพื่อนำมาปรับปรุงสายพันธุ์ปลานิลแบบมีเงื่อนไข
ต่อมาปี 2553 มีการนำเข้าปลาหมอคางดำจำนวน 2,000 ตัว มาเพาะเลี้ยงในศูนย์ทดลอง ในพื้นที่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
และวันนี้ ปลาหมอคางดำ ได้กลายเป็น เอเลี่ยนสปีชีส์ หรือ สิ่งมีชีวิตต่างถิ่นที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วและทำลายสัตว์น้ำประจำถิ่น สร้างปัญหาในกว่า 13 จังหวัดของไทย
รายงานการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำพบครั้งแรก ในปี 2555 เกษตรกรในพื้นที่ ต.ยี่สาร ต.แพรกหนามแดง และ ต.คลองโคลน จ.สุมทรสงคราม ได้พบการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดำในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
จากนั้นพบแพร่ระบาดไปยังแม่น้ำประแสร์ จ.ระยอง และในเขตภาคใต้คือ จ.เพชรบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.ชุมพร ส่งผลกระทบต่อการอยู่อาศัยของสัตว์น้ำพื้นถิ่นและระบบนิเวศแหล่งน้ำ
ล่าสุด พบการระบาดของปลาหมอคางดำไกลไปถึงพื้นที่ จ.สงขลา บริเวณคลองแดน อ.ระโนด ชาวบ้านในพื้นที่ระบุว่า เริ่มเจอครั้งแรกเมื่อราว ๆ 2 ปีก่อน แต่เรียกกันว่าปลานิลแก้มดำ ในช่วงปีที่พบมาก ๆ แต่ละวันจะจับได้ คนละ 20-30 กิโลกรัม
ปลาหมอคางดำเป็นนักกิน ที่กินทั้งพืช สัตว์ และแพงก์ตอน ลูกปลา ลูกหอยสองฝา รวมถึงซากของสิ่งมีชีวิต ที่สำคัญยังมีลำไส้ที่ยาวกว่าลำตัวถึง 4 เท่า และยังมีระบบย่อยอาหารที่ดี ทำให้มีความต้องการอาหารตลอดเวลา บวกกับนิสัยที่ค่อนข้างดุร้าย การมีอยู่ของปลาหมอคางดำจึงส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ร่วมลำน้ำ
ลักษณะของปลาหมอคางดำ คือ ทนต่อความเค็มได้สูง จึงพบได้ทั้งในน้ำจืด บริเวณปากแม่น้ำที่เป็นน้ำกร่อย ป่าชายเลน และในทะเล
ขนาดตัวโตเต็มวัย ลําตัวยาวถึง 8 นิ้ว เพศผู้จะมีสีดําบริเวณหัวและบริเวณแผ่นปิดเหงือก มากกว่าเพศเมีย สามารถผสมพันธุ์ทุก ๆ 22 วัน วางไข่ได้ทั้งปี แม่ปลา 1 ตัว สามารถให้ไข่ได้ประมาณ 150 – 300 ฟอง การฟักไข่และดูแลตัวอ่อนจะอยู่ในปากปลาเพศผู โดยไข่จะใช้เวลาฟักประมาณ 4 – 6 วัน และพ่อปลาจะดูแลลูกปลา โดยการอมไว้ในปากนาน ประมาณ 2-3 สัปดาห์
ปลาหมอคางดำ กลายเป็นภัยคุกคามสัตว์น้ำพื้นถิ่น ทำให้ความหลากหลายของสัตว์น้ำวัยอ่อนลดลง อีกทั้งยังขาดขาดผู้ล่าในห่วงโซ่อาหาร ซึ่งนั่นส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในภาพรวม
ปัจจุบัน ในหลายพื้นที่แม้จะมีปลาหมอคางดำจะมีจำนวนมากในแหล่งน้ำธรรมชาติ แต่คนไม่นิยมนำไปรับประทาน เพราะเนื้อบาง ก้างเยอะและกินไม่อร่อย จึงมักขายไม่ได้ราคา
ในสายตาของเกษตรกร ปลาหมอคางดำคือผู้ร้ายที่รุกรานผลผลิตด้านการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ นั่นเพราะรายได้จากการลงทุนลงแรงต้องสูญหายไป
หากเทียบราคาสัตว์น้ำที่ปลาหมอทำลาย
- กุ้งขาว 1 กิโลกรัม ราคาประมาณ 120 – 170 บาท (แล้วแต่ขนาด)
- กุ้งก้ามกราม 1 กิโลกรัม ราคาประมาณ 160 – 350 บาท (แล้วแต่ขนาด)
- ปลานิล 1 กิโลกรัม ราคาประมาณ 60 บาท
ขณะที่ปลาหมอคางดำ ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 3 – 5 บาท
“เพราะตอนนี้ปลาหมอคางดำมันกินทุกอย่าง มันกินโฉนดที่ดิน กินชีวิตคน กินแม้กระทั่งลูกหลานที่กำลังเรียนหนังสือ เพราะเมื่อเกษตรกรหมดตัว เขาก็ไม่สามารถส่งลูกหลานเขาไปเรียนได้ มันกินอนาคตของคนในประเทศไทยด้วย ตอนนี้ระบาดหนักทุกที่ ซึ่งกรมประมงเคยบอกว่าดำเนินการแล้ว แต่มันกลับไม่ได้ลดลงเลยเพราะเขาไม่ได้สำรวจอย่างจริงจัง ผมค่อนข้างกลัวมากอีกประเด็น คือเมื่อมันแพร่ระบาดไปจนถึงจันทบุรี เข้าจังหวัดตราด เข้ากัมพูชา ส่วนทางใต้เขาสงขลา ก็จะเข้ามาเลเซีย หากมันแพร่ระบาดไปยังสองประเทศนี้ เราอาจจะต้องขึ้นสู้คดีศาลโลก”
เสียงสะท้อนจากเกษตรกรรายหนึ่งในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงครามเล่าว่า ลงทุนปล่อยกุ้งในบ่อของตน 5 แสนถึง 1 ล้านบาท แต่ไม่ได้ผลผลิต สองเดือนก่อนเปิดบ่อขึ้นมาได้แต่ปลาหมอคางดำถึง 17 ตัน ต้องลงทุนจ้างคนงานเพื่อเอาปลาหมอคางดำขึ้นจากบ่อกุ้งอีกหลายหมื่นบาท เมื่อเอาไปขายก็เกิดความไม่คุ้มค่า แต่ถึงอย่างไรก็ต้องทำเพราะปลาหมอคางดำมันกินทุกอย่าง
แม้ว่าคณะรัฐมนตรีจะมีมติเห็นชอบตามกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567 – 2570 เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2567 โดยให้ดำเนินการ (1) ควบคุม กำจัด และลดประชากรปลาหมอคางดำ ออกจากแหล่งน้ำไม่น้อยกว่า 5,000 ตันที่แพร่ระบาดในทุกพื้นที่ของประเทศไทย รวมทั้งส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์จากปลาหมอคางดำ (2) ฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพของแหล่งน้ำที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาด เพื่อฟื้นฟูความหลากหลายตามความเหมาะสมของแหล่งน้ำไม่น้อยกว่า 20 ล้านตัว (3) สร้างเครือข่ายความร่วมมือในพื้นที่ของทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาชน ภาครัฐ ภาคเอกชนและการมีส่วนร่วมในการรับมือกับการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในพื้นที่รอยต่อและพื้นที่ที่มีความเสี่ยง (4) ประชาสัมพันธ์และการสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนให้ทราบถึงผลกระทบและการดำเนินการร่วมแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ (5) สร้างงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการประมง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคาดำและสัตว์น้ำต่างถิ่นรุกราน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 – กันยายน 2570 ด้วยงบประมาณรวม 450 ล้านบาท ซึ่งจะต้องดำเนินการตามแผน 7 มาตรการ 14 กิจกรรมดังนี้
มาตรการที่ 1 การควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาด
– ควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำและบ่อสัตว์น้ำในพื้นที่ที่พบการแพร่ระบาด
– กำจัดประชากรปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำ ไม่น้อยกว่า 5,000 ตัน
– งบประมาณ 100 ล้านบาท
– หน่วยงานที่รับผิดชอบ: กรมประมง สำนักงานประมงจังหวัด และศูนย์วิจัยประมงในพื้นที่
กิจกรรมที่ 1 การกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ ด้วยเครื่องมือประมงที่มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับภาพพื้นที่
กลุ่มเป้าหมาย : ชาวประมง เครือข่ายชุมชนในพื้นที่แพร่ระบาด
กิจกรรมที่ 2 การกำจัดปลาหมอคางดำจากบ่อเพาะเลี้ยงด้วยกากชา และส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์น้ำชนิดอื่น
กลุ่มเป้าหมาย : เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่แพร่ระบาด
มาตรการที่ 2 การกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยการปล่อยปลาผู้ล่าอย่างต่อเนื่อง
– จัดหาพันธุ์สัตว์น้ำและปล่อยปลาผู้ล่าตามความเหมาะสมของแหล่งน้ำ ไม่น้อยกว่า 5 ล้านตัว
– งบประมาณ 50 ล้านบาท
– หน่วยงานที่รับผิดชอบ: กรมประมง สำนักงานประมงจังหวัด ศูนย์วิจัยประมงในพื้นที่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และสถานบันการศึกษา
กิจกรรมที่ 1 การประเมินสถานภาพปลาหมอคางดำก่อน – หลังปล่อยปลาผู้ล่าลงในแหล่งน้ำ
พื้นที่เป้าหมาย: แหล่งน้ำที่พบการแพร่ระบาด
กิจกรรมที่ 2 การปล่อยปลาผู้ล่าเพื่อกำจัดลูกปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ
พื้นที่เป้าหมาย : แหล่งน้ำที่พบการแพร่ระบาด
มาตรการที่ 3 การนำปลาหมอคางดำที่กำจัดออกจากระบบนิเวศไปใช้ประโยชน์
– เพิ่มแหล่งรับซื้อปลาหมอคางดำที่ถูกจำกัดและหาแนวทางการใช้ประโยชน์จากปลาหมอคางดำ
– ปริมาณปลาหมอคางดำที่นำไปใช้ประโยชน์ ไม่น้อยกว่า 5,000 ตัน
– งบประมาณ 80 ล้านบาท
– หน่วยงานที่รับผิดชอบ: กรมประมง สำนักงานประมงจังหวัด ศูนย์วิจัยประมงในพื้นที่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น กรมพัฒนาที่ดิน และกรมส่งเสริมการเกษตรฯ
กิจกรรมที่ 1 การจัดหาแหล่งกระจายและจำหน่ายปลาหมอคางดำที่ถูกกำจัดออกจากระบบนิเวศ
กลุ่มเป้าหมาย: กลุ่มวิสาหกิจชุม โรงงานปลาป่น เกษตรกร
กิจกรรมที่ 2 การหาแนวทางการนำปลาหมอคางดำไปใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆ
กลุ่มเป้าหมาย: กลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มผู้แปรรูป เกษตรกร
มาตรการที่ 4 การสำรวจและเฝ้าระวังการแพร่กระจายประชากรปลาหมอคางดำในพื้นที่เขตกันชน
– สร้างความรู้และการมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมในการรับมือการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำให้กับประชาชนในพื้นที่เขตกันชนและพื้นที่ที่มีความเสี่ยง
(1) มีช่องทางการรับแจ้งการแพร่ระบาดไม่น้อยกว่า 1 ช่องทาง
(2) เฝ้าระวังและป้องกันแหล่งน้ำที่ยังไม่พบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำไม่น้อยกว่า 4 จังหวัด
– งบประมาณ 10 ล้านบาท
– หน่วยงานที่รับผิดชอบ: กรมประมง สำนักงานประมงจังหวัด ศูนย์วิจัยประมงในพื้นที่และด่านตรวจสัตว์น้ำ
มาตรการที่ 5 สร้างความรู้ ความตระหนัก และการมีส่วนร่วมในการกำจัดปลาหมอคางดำ
– ประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ ความตระหนักให้กับทุกภาคส่วนเพื่อเป็นการป้องกันและพร้อมรับมือการแพร่ระบาด และข้อมูลด้านกฎหมาย
– มีสื่อประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ คู่มือประชาชน และคู่มือเจ้าหน้าที่เพื่อใช้รับมือปลาหมอคางดำ
– งบประมาณ 10 ล้านบาท
– หน่วยงานที่รับผิดชอบ: กรมประมง สำนักงานประมงจังหวัด ศูนย์วิจัยประมงในพื้นที่และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น
มาตรการที่ 6 การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ
วัตถุประสงค์
(1) พัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ
(2) นำองค์ความรู้ไปจัดทำมาตรการในการแก้ไขปัญหา
ตัวชี้วัด
(1) บทความวิจัยฉบับสมบูรณ์เผยแพร่เป็นองค์ความรู้ในการจัดการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ
(2) ระบบสารสนเทศที่สามารถวิเคราะห์ผลเชิงพื้นที่แบบเวลาจริง (Real Time )
(3) ระบบการจัดเก็บตัวอย่างสามารถใช้อ้างอิงประชาชนเป็นมาตรฐานสากล
– งบประมาณ 100 ล้านบาท
– หน่วยงานที่รับผิดชอบ: กรมประมง
มาตรการที่ 7 การฟื้นฟูระบบนิเวศ
ฟื้นฟูความหลากหลายและความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ
(1) จำนวนสัตว์น้ำประจำถิ่นที่ปล่อยลงในแหล่งน้ำไม่น้อยกว่า 5 ล้านตัว
(2) แหล่งอาศัยของสัตว์น้ำประจำถิ่นได้รับการฟื้นฟูไม่น้อยกว่า 16 แห่ง
– งบประมาณ 100 ล้านบาท
– หน่วยงานที่รับผิดชอบ: กรมประมง
แต่ทว่าในช่วงเดือนมกราคม 2568 เครือข่ายภาคประชาชนเเละเกษตรกรเลี้ยงกุ้งในจังหวัดสมุทรสงคราม ยังคงจับปลาหมอคางดำได้เพิ่มขึ้นกว่า 55 ตัน
“ผมเคยเสนอให้รัฐใช้เงิน 100 ล้านบาท เพื่อซื้อปลาหมอคางดำในพื้นที่ใจกลางแหล่งระบาดซึ่งจะต้องซื้อกิโลกรัมละ 20 บาทเพื่อเป็นการเยียวยาชาวบ้าน ตอนนั้นถ้าซื้อ 100 ล้านบาท มันจะกลับมาเป็น 200 ล้านบาท แต่รัฐซื้อในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน 11 ล้านกว่าบาท เมื่อหมดกำลังซื้อก็เลิกซื้อ พอหยุดซื้อปลาหมอคางดำก็กลับมาเหมือนเดิมเพราะมันออกลูกทุก ๆ 22 วัน”
ปัญญา โตกทอง เครือข่ายประชาคมคนรักแม่กลองเผยว่า ที่ผ่านมาในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงครามมีการซื้อขายปลาหมอคางดำเฉพาะในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำเท่านั้น แต่ในคลองธรรมชาติไม่มีการจับขาย ส่วนในพื้นที่สมุทรสาครเรือประมงอวนรุนสามารถจับในชายฝั่งได้มาก แต่เมื่อน้ำขึ้นปลาหมอคางดำก็ขึ้นมาในคลองธรรมชาติ ซึ่งหากทำตามข้อเสนอเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ใช้เงินเพียง 100 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งตอนนี้อาจต้องใช้เงินมากกว่า 1,000 ล้านบาทถึงจะแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งรัฐจะต้องเปิดเผยข้อเท็จจริง ไม่ใช่เพียงการปักป้ายถ่ายภาพแล้วบอกกับสังคมว่า “ปลาหมอคางดำหมดไปจากพื้นที่แล้ว”
อย่างไรก็ตามเครือข่ายประชาคมคนรักแม่กลอง ยังได้มีข้อเสนอในการจัดการปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำต่อรัฐบาลในหลายกระทรวง อาทิ กระทรวงพาณิชย์จะต้องลดภาษีการนำเข้ากากชาซึ่งกลุ่มเกษตรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำใช้กำจัดปลาหมอคางดำในบ่อกุ้งและบ่อปู เพราะกากชาไม่มีผลต่อสัตว์น้ำเลือดขาว กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ควรทำการศึกษาวิจัยว่าจะทำอย่างไรให้ปลาหมอคางดำเป็นหมัน ขณะเดียวกันก็ต้องทำควบคู่ไปกับการกำจัดเพื่อให้ปริมาณปลาหมอคางดำลดลง รวมถึงการส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำได้ปรับเปลี่ยนการเพาะเลี้ยงปลากะพง เนื่องจากปลากะพงเป็นนักล่าที่สามารถกินปลาหมอคางดำเป็นอาหารได้ แต่รัฐบาลจะต้องส่งเสริมด้านการตลาดอย่างจริงจัง