
การพัฒนาในประเทศนี้ มักถูกเสนอผ่านภาพกราฟิกสวย ๆ บนจอ PowerPoint ในห้องประชุมที่มักจะจัดขึ้นในโรงแรมหรู ๆ มีนักการเมืองยืนถือไมค์พร่ำบอกว่า “นี่คืออนาคตของชาติ” แต่พอเลื่อนสายตาออกจากจอสไลด์ออกไป เรากลับเห็นแต่หมู่บ้านที่ถูกเวนคืน ทะเลที่ถูกถม ป่าชายเลนที่ถูกไถ แล้วคำถามใหญ่คือ อนาคตที่พวกเขาพูดถึงนั้นมันเป็นอนาคตของใครกัน?
เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor – EEC) เป็นโครงการที่รัฐไทยตั้งธงไว้ว่าจะเป็นฮับเศรษฐกิจเชื่อมโลก สร้างงานมหาศาล ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ แต่ถ้าเดินไปถามชาวประมงพื้นบ้านแถบชลบุรี ระยอง คำตอบที่ได้กลับตรงกันข้าม พวกเขาเสียที่ทำกิน สูญเสียสิทธิการเข้าถึงทรัพยากรชายฝั่งที่เคยหากินมาตลอดชีวิต และถูกทำให้กลายเป็นเศษส่วนในสมการการพัฒนาของรัฐ
ในเชิงกฎหมาย รัฐออกพ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ให้อำนาจคณะกรรมการนโยบาย EEC อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่การกำหนดผังเมือง การใช้ที่ดิน ไปจนถึงสิทธิประโยชน์การลงทุนเหนือกว่าอำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และประชาชนในพื้นที่
พูดให้เข้าใจกันง่าย ๆ ก็คือ รัฐสร้างอาณาจักรเศรษฐกิจที่แยกตัวออกมาจากระบบการปกครองปกติ ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่กลับต้องอยู่ในฐานะผู้รบกวนการพัฒนา
ตรงนี้สะท้อนวิกฤตประชาธิปไตยสิ่งแวดล้อม อย่างชัดเจน เพราะประชาชนไม่มีสิทธิร่วมตัดสินใจแม้แต่น้อย ทั้งที่เป็นผู้แบกรับผลกระทบโดยตรง
เมื่อ EEC ถูกขายเป็นโมเดลสำเร็จ (ทั้งที่ปัญหาเต็มไปหมด) รัฐบาลก็ไม่รอช้าที่ขยายโครงการสู่ภาคใต้ในชื่อ SEC (Southern Economic Corridor) หรือเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ครอบคลุมชุมชนในชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช
เป้าหมายคือการสร้าง แลนด์บริดจ์เชื่อมอ่าวไทย–อันดามัน นิคมอุตสาหกรรม ท่าเรือน้ำลึก และโครงสร้างพื้นฐานยักษ์ใหญ่อีกสารพัด แต่สิ่งที่เหมือนเดิมคือ การไม่เห็นหัวประชาชน!
ลองนึกภาพตาม หมู่บ้านประมงชายฝั่งที่เคยสงบจะถูกแทนที่ด้วยท่าเรือน้ำลึก เรือสินค้าขนาดยักษ์แล่นเข้ามาแทนเรือประมงเล็ก เสียงเครื่องจักรกลบเสียงนกทะเล ความมั่นคงทางอาหารถูกแลกกับ GDP ที่โตบนกระดาษ แล้วชาวบ้านได้อะไร? คำตอบคือ ได้แค่ฝุ่น เสียงดัง ทรัพยากรถูกแย่งยึด และการถูกผลักออกไปจากบ้านเกิดตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็น EEC หรือ SEC สิ่งที่เหมือนกันคือ รัฐมองการพัฒนาแบบบนลงล่าง (top-down) เชื่อว่าการลงทุนขนาดใหญ่คือทางออก แต่ไม่เคยถามเลยว่าคนในพื้นที่ต้องการอะไรจริง ๆ
นี่คือการละเมิดหลักประชาธิปไตยสิ่งแวดล้อม (Environmental Democracy) ซึ่งในสากลประกอบด้วย 3 สิทธิหลัก ได้แก่
- สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล แต่ในความจริง เอกสาร EIA/EHIA ของโครงการใหญ่ ๆ ถูกทำให้แยกส่วน เข้าใจยาก ประชาชนเข้าถึงลำบาก
- สิทธิในการมีส่วนร่วมตัดสินใจ เวทีประชาพิจารณ์มักเป็นพิธีกรรม ชาวบ้านพูดไปก็ไม่ได้ถูกนับ
- สิทธิในการเข้าถึงความยุติธรรม ฟ้องร้องต่อศาลปกครองใช้เวลายาวนาน และระบบกฎหมายมักเข้าข้างรัฐและทุน
ทั้งหมดนี้คือการย่ำหัวประชาชน ใต้วาทกรรมการพัฒนา
EEC และ SEC ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความจำเป็นเชิงเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เกิดจากการเมืองของอำนาจและผลประโยชน์ นักการเมืองใช้โครงการใหญ่เป็นทุนทางการเมืองซื้อความชอบธรรม กลุ่มทุนได้สิทธิพิเศษทางภาษี ที่ดิน และทรัพยากร ข้าราชการประจำสร้างอาณาจักรอำนาจในรูปแบบคณะกรรมการและกฎหมายพิเศษ
ประชาชนหรือ? ก็กลายเป็นต้นทุนที่ถูกบังคับให้ต้องจ่าย
ถ้าเทียบเชิงทฤษฎี สิ่งนี้สะท้อน developmental authoritarianism หรือการพัฒนาแบบอำนาจนิยม ที่ไม่สนใจเสียงชาวบ้าน ใช้โครงสร้างรัฐผลักโครงการให้เดินหน้า แล้วเรียกคนที่คัดค้านว่าพวกถ่วงความเจริญ
สิ่งที่น่ากลัวคือ โครงการแบบ EEC และ SEC กำลังจะกลายเป็นแม่พิมพ์ของการพัฒนาไทยในอนาคต นั่นหมายความว่า ประชาชนจะถูกลดบทบาทเหลือแค่ผู้รับผลกระทบ สิ่งแวดล้อมจะถูกตีค่าเป็นต้นทุน ไม่ใช่ทรัพย์สินร่วมการเมืองไทยจะยิ่งไกลห่างจากประชาธิปไตยที่แท้จริง
ทั้งหมดนี้ย้อนแย้งกับสิ่งที่รัฐพยายามพูดบนเวทีโลก อย่างการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) หรือการเป็นผู้นำด้าน Climate Action ที่มีเพียงคำพูดที่ฟังดูหรู แต่การกระทำจริงคือการกวาดปัญหาไว้ใต้พรม
ถ้าเรามองอย่างจริงจัง การแก้ปัญหาไม่ใช่การหยุดพัฒนา แต่คือการสร้างประชาธิปไตยสิ่งแวดล้อมให้เกิดขึ้นจริง เปิดข้อมูลทุกโครงการอย่างโปร่งใส ให้ชุมชนมีสิทธิร่วมออกแบบทิศทางการพัฒนา มีกลไกยุติธรรมที่เข้าถึงง่าย และไม่ลำเอียงต่อทุนกับรัฐนั่นแหละจึงจะเป็นการพัฒนาที่เห็นหัวประชาชน
จาก EEC ถึง SEC เราเห็นภาพซ้ำ ๆ ของการพัฒนาที่ไม่เห็นหัวประชาชน รัฐบาลอาจอ้างว่ากำลังสร้างศูนย์กลางเศรษฐกิจ แต่ในความจริงกำลังสร้างศูนย์กลางความเหลื่อมล้ำเสียมากกว่า
ถ้าเราไม่ตั้งคำถามวันนี้ วันหนึ่งลูกหลานเราจะตื่นขึ้นมาเจอทะเลที่ถูกถม ป่าที่ถูกไถ บ้านที่หายไป แล้วเขาจะถามเราว่า ทำไมคุณยอมให้การพัฒนาแบบนี้ฆ่าอนาคตของเขา?
คำตอบนั้นอาจสายเกินไป
“ประชาธิปไตยสิ่งแวดล้อม” คือคอลัมน์วิพากษ์เชิงโครงสร้างที่เปิดโปงการพัฒนาที่ไม่เห็นหัวประชาชน วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจ รัฐ ทุน และทรัพยากร ผ่านสายตาของนักเคลื่อนไหวและงานวิชาการเข้มข้น จุดยืนชัดเจนคือ สิ่งแวดล้อมต้องเดินคู่กับสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย ไม่ใช่เครื่องมือบังหน้าให้การกดขี่
บทวิพากษ์โดย ตาล วรรณกูล – กรรมการฝ่ายสื่อสารสาธารณะ สมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ (สคส.)