
สังคมไทยถูกหลอกให้เชื่อมานานว่า “การพัฒนา” คือการสร้างถนน สร้างนิคมอุตสาหกรรม ปลูกป่าเชิงเดี่ยว ปั้นโครงการ BCG ขึ้นมาเป็นวาทกรรมใหม่ ๆ ทั้งหมดนี้ถูกโหมกระหน่ำด้วยสโลแกนว่า “ยั่งยืน” และ “เพื่ออนาคต” แต่เมื่อเรามองให้ลึกลงไป จะเห็นว่าอนาคตแบบนั้นไม่เคยมีที่ยืนให้กับชาวบ้าน คนชายขอบ ชาติพันธุ์ หรือแม้แต่สัตว์ป่าในผืนดินนี้ การพัฒนาที่ถูกออกแบบมาจากบนลงล่างไม่เพียงทำลายทรัพยากรธรรมชาติ หากยังสกัดกั้นสิทธิประชาชนในการตัดสินใจและกำหนดอนาคตของตัวเอง
คอลัมน์ “ประชาธิปไตยสิ่งแวดล้อม” จึงเกิดขึ้น ไม่ใช่เพื่อเล่าเรื่องธรรมชาติแบบโรแมนติก ไม่ใช่เพื่อปลุกเร้าให้คนรักป่าโดยไม่แตะการเมือง แต่เพื่อประกาศชัดว่า การจัดการสิ่งแวดล้อมไม่เคยแยกออกจากอำนาจและประชาธิปไตยได้ ใครเป็นเจ้าของป่า ใครถือสิทธิที่ดิน ใครได้กำไรจากคาร์บอนเครดิต ใครถูกไล่รื้อจากโครงการพัฒนา ทุกคำถามนี้คือการเมืองทั้งสิ้น
รัฐไทยยังคงใช้มายาคติว่า “เพิ่มพื้นที่ป่า” คือความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งที่ความจริงการประกาศเขตป่าสงวน อุทยานแห่งชาติ หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ฯลฯ มักหมายถึงการแย่งชิงพื้นที่ทำกินของชาวบ้านที่อยู่ตรงนั้นมาหลายชั่วอายุคน เราจึงเห็นนโยบาย “ทวงคืนผืนป่า” ที่เต็มไปด้วยคดีความ การจับกุม การเผาหมู่บ้าน และการผลักคนออกจากพื้นที่ แทนที่จะเป็นการบริหารจัดการป่าอย่างมีส่วนร่วม
ป่าที่ถูกสร้างในรายงานราชการจึงไม่ใช่ป่าแห่งชีวิต แต่เป็นป่าแห่งตัวเลข ป่าแห่ง KPI และงบประมาณ ทว่าในอีกด้านหนึ่ง ป่าเหล่านั้นคือบาดแผลของชาวบ้านที่ถูกลบสิทธิการดำรงชีพไปต่อหน้าต่อตา
คนกะเหรี่ยง ม้ง ลาหู่ ลีซู หรือชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ตามแนวเขา ถูกทำให้เป็นตัวปัญหาของการอนุรักษ์ ทั้งที่พวกเขาคือผู้ดูแลป่ามายาวนาน เมื่อรัฐสร้างเส้นแบ่งว่าอะไรคือ “ป่าอนุรักษ์” และอะไรคือ “บุกรุก” เส้นแบ่งนั้นไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่เกิดจากนโยบายและกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้ทุนและเจ้าหน้าที่รัฐ
คอลัมน์นี้จะติดตามและวิพากษ์ว่าการผลักคนออกจากป่าไม่ใช่การอนุรักษ์ แต่คือการลบประวัติศาสตร์และสิทธิชุมชนชาติพันธุ์อย่างเลือดเย็น และนี่คือโครงสร้างที่ทำให้ความอยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย
ประเทศไทยเต็มไปด้วยคณะกรรมการ นโยบาย แผนยุทธศาสตร์ และหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมที่ซ้อนทับกัน แต่คำถามสำคัญคือ ใครมีอำนาจตัดสินใจจริง ๆ? รัฐมักอ้างว่า “มีส่วนร่วม” แต่การประชาพิจารณ์ก็มักเป็นแค่พิธีกรรมที่ชาวบ้านถูกเรียกไปนั่งฟังและลงชื่อโดยไม่สามารถเปลี่ยนสาระได้
การบริหารจัดการน้ำ ป่า แร่ และพลังงาน มักอยู่ในมือกลุ่มอำนาจที่ใกล้ชิดกับทุนมากกว่าประชาชน ผลที่เกิดขึ้นคือทรัพยากรถูกใช้เพื่อสะสมกำไร ไม่ใช่เพื่อการอยู่รอดของคนส่วนใหญ่ คอลัมน์นี้จะเปิดโปงว่า ทุกการบริหารทรัพยากร คือการเมืองแห่งอำนาจ ไม่ใช่เรื่องเทคนิคหรือวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว
เศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว (BCG) ถูกโฆษณาว่าเป็นอนาคตของไทยในเวทีโลก แต่เมื่อส่องลึกเข้าไป เรากลับพบว่ามันคือการเอาทรัพยากรพื้นฐานไปสร้างกำไรให้กลุ่มทุนรายใหญ่ภายใต้คำว่า “ยั่งยืน” เช่น การปลูกพืชพลังงานเชิงเดี่ยวที่เบียดขับเกษตรกรรายย่อย การซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ทำให้ชาวบ้านถูกห้ามใช้ป่าในขณะที่บรรษัทกลับได้สิทธิในผลกำไร
BCG จึงไม่ใช่คำตอบของสิ่งแวดล้อม หากแต่เป็นฉากใหม่ของการกอบโกยทรัพยากรในชื่อความเขียวสะอาด ซึ่งในคอลัมน์นี้ เราจะฉีกฉากบังหน้าออกให้เห็นกลไกที่แท้จริงของมัน
เมื่อช้างป่า กระทิง ลิง เหี้ย หรือสัตว์ป่าอื่น ๆ ลงมากินพืชไร่ของชาวบ้าน รัฐมักตอบด้วยการสร้างคู รั้วไฟฟ้า หรือผลักภาระการแก้ปัญหาไปให้ชุมชนจัดการเอง แต่แทบไม่เคยยอมรับว่าต้นตอของปัญหามาจากการพัฒนา เขื่อน ถนน หรือโครงการใหญ่ ๆ ที่ทำลายเส้นทางหากินของสัตว์
ความขัดแย้งระหว่างคนกับสัตว์ป่าจึงไม่ใช่ปัญหาชุมชน แต่เป็นวิกฤตเชิงโครงสร้างที่สะท้อนว่าการจัดการทรัพยากรของรัฐล้มเหลวอย่างไร คอลัมน์นี้จะชี้ให้เห็นว่า หากไม่มีประชาธิปไตยในการตัดสินใจด้านสิ่งแวดล้อม ปัญหานี้ก็จะยิ่งบานปลายและซ้ำเติมทั้งคนและสัตว์
เมื่อเกิดน้ำท่วม ภัยแล้ง หรือพายุถล่ม เรามักถูกรัฐบอกว่านี่คือ “ภัยธรรมชาติ” แต่ใครกันแน่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด? ไม่ใช่บรรษัทใหญ่ในเมืองหลวง แต่คือเกษตรกรรายย่อย คนจนเมือง ชาวบ้านริมฝั่งทะเลที่แทบไม่มีทรัพยากรจะรับมือ
คอลัมน์นี้จะตั้งคำถามว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือเรื่องการเมือง เพราะมันสะท้อนความเหลื่อมล้ำในการปรับตัวและเข้าถึงทรัพยากร ใครมีสิทธิสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วม ใครมีเงินทำประกัน ใครต้องยอมจมไปกับสายน้ำ นี่คือความไม่เท่าเทียมที่ซ่อนอยู่ในทุกพายุที่พัดผ่าน
คำว่า “การพัฒนา” ถูกใช้เป็นโล่กำบังให้โครงการมหึมาตั้งแต่ EEC, SEC, Land Bridge ไปจนถึงโครงการเขื่อนและนิคมอุตสาหกรรม รัฐบาลทุกยุคต่างบอกว่า นี่คือความเจริญที่จะยกระดับเศรษฐกิจ แต่เสียงคัดค้านของชาวบ้านกลับถูกตีตราว่า “ขัดขวางความเจริญ”
คอลัมน์นี้จะไม่เพียงตั้งคำถามว่า ใครได้ประโยชน์จากการพัฒนา แต่ยังจะยืนยันว่า ประชาธิปไตยต้องเริ่มจากสิทธิของคนที่จะบอกว่า “พอแล้ว” หรือ “เราต้องการอนาคตแบบอื่น”
โลกวันนี้เผชิญทั้งวิกฤตสิ่งแวดล้อมและวิกฤตประชาธิปไตยพร้อมกัน การแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่งโดยไม่แตะอีกด้านจึงเป็นไปไม่ได้ หากเราพูดถึงป่าแต่ไม่พูดถึงสิทธิ เรากำลังทำให้การอนุรักษ์กลายเป็นเครื่องมือของการกดขี่ หากเราพูดถึงการพัฒนาแต่ไม่พูดถึงความเป็นธรรม เรากำลังทำให้การเมืองกลายเป็นของเล่นของทุน
คอลัมน์ “ประชาธิปไตยสิ่งแวดล้อม” จึงไม่ได้เป็นเพียงบทความเชิงวิชาการ หรือเสียงตะโกนในท้องถนน แต่จะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างความจริงจากสนามเคลื่อนไหวกับการวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง เพื่อยืนยันว่า การต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมคือการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และในทางกลับกัน ประชาธิปไตยที่แท้จริงก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากสิ่งแวดล้อมยังถูกครอบครองโดยทุนและรัฐ
นี่คือการประกาศเปิดตัวเวทีที่ไม่ได้ตั้งใจให้ใครสบายใจ แต่ตั้งใจจะกวนโครงสร้างอำนาจที่กดทับเรามานานให้ขุ่น ถึงเวลาที่จะต้องพูดอย่างไม่เกรงใจใคร เพราะอนาคตของสิ่งแวดล้อมคืออนาคตของประชาธิปไตย และอนาคตของประชาธิปไตยคือชีวิตของพวกเราทุกคน