
“เรายังไม่รู้ข้อมูลว่าปลาที่นำไปตรวจนั้นปลาอะไร เพราะปลาแต่ละชนิดมีการการสะสมของสารปรอทต่างกัน หากตรวจพบในปลานักล่า เช่น ปลาช่อน แสดงว่ามีการสะสมในกุ้ง หอย ปู เมื่อปลาช่อนกินสัตว์เล็กเหล่านั้นเราจับปลามาก็ตรวจเจอ ถือว่ามีการปนเปื้อน แต่หากตรวจปลาเล็กที่ไม่ใชปลานักล่าแล้วเจอในปริมาณนี้ ก็ถือว่าเยอะมาก”
สมพร เพ็งคำ นักวิจัยอิสระและผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภายโดยชุมชน (Community Health Impact Assessment Platformหรือ CHIA Platform)

เมื่อวิทยาศาสตร์กลายเป็นเครื่องมือของอำนาจ
ความจริงอาจมีหลายด้าน แต่ “ความจริงที่รัฐยอมรับ” มักมีแค่ด้านเดียว
นั่นคือด้านที่ไม่กระทบต่อความรับผิดชอบของรัฐ
ในกรณี มลพิษแม่น้ำกก สำนักงานประมงจังหวัดเชียงรายส่งปลาไม่ทราบชนิดตรวจหาโลหะหนักกับบริษัทแห่งหนึ่ง ผลออกมาชัดเจนว่า พบสารหนู (As) 0.13 mg/kg และปรอท (Hg) 0.090 mg/kg
แม้จะบอกว่าทั้งหมด ไม่เกินค่ามาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2563 (ฉบับที่ 414) และถือว่าปลอดภัยต่อการบริโภค
อีกทั้งองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และ WHO ผ่านโครงการ Codex Alimentarius ที่ได้กำหนดค่ามาตรฐาน ปรอทในปลา = 0.5 mg/kg สารหนูในปลาและสัตว์น้ำ = 0.1–0.2 mg/kg
ซึ่งรัฐก็ยังยืนยันว่า “เป็นปกติและปลอดภัย”

ผลตรวจที่อยู่ในเกณฑ์ ไม่ได้แปลว่าปลอดภัย 100%
ค่ามาตรฐานของไทยและ Codex คือ “ค่าที่ถือว่าปลอดภัยสำหรับการบริโภคแบบเฉลี่ยทั่วไป”
แต่สำหรับคนที่ บริโภคปลาแม่น้ำเป็นอาหารหลัก หรือ กลุ่มเปราะบาง (เด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ) การสะสมโลหะหนักในร่างกายจากการกินซ้ำต่อเนื่อง อาจเกินจุดปลอดภัยได้เร็วกว่าปกติ ซึ่งแปลว่า “มันไม่ปกติสำหรับความเป็นจริง”
WHO เอง ก็เคยเตือนว่า ไม่มีระดับของปรอทหรือสารหนูที่ถือว่าปลอดภัยต่อการบริโภค แค่ต่ำกว่าระดับที่ทำให้เกิดอาการเฉียบพลันเท่านั้น
มันคือความเสี่ยงสะสมระยะยาว หรือที่เรียกว่า การสะสมทางชีวภาพ (Bio-accumulation) โลหะหนักอย่าง สารหนู, ปรอท, แคดเมียม ไม่ถูกขับออกจากร่างกายง่าย ๆ
การกินปลาและสัตว์น้ำที่มีค่าต่ำกว่ามาตรฐานแต่กินเป็นประจำ อาจทำให้สะสมในเนื้อเยื่อและอวัยวะภายใน
ผลกระทบจะเริ่มเห็นชัดใน 2-10 ปี ข้างหน้า ไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้!!!
ทำไมข้อมูลแบบนี้รัฐไม่บอกชาวบ้าน?
เพราะมันอาจชี้กลับมาหาตัวรัฐเองว่า ล้มเหลวในการป้องกัน?
หรือเพราะรัฐไม่อยากเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านโดยยอมรับว่า ข้างบ้านเรากำลังฆ่าประชาชนเราด้วยโลหะหนัก?

ข้อมูลไม่เคยเป็นกลาง โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในมือคนที่มีอำนาจ
การตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน ตะกอน และอาหารริมแม่น้ำกก กลายเป็นสมรภูมิของ “ข้อมูลรัฐ vs ข้อมูลประชาชน”
ข้อมูลรัฐ
เก็บเฉพาะบางจุด
เวลาตรวจไม่ตรงกับช่วงวิกฤต (ตรวจช่วงน้ำเจือจาง)
ใช้มาตรฐานไทย (ที่อนุญาตให้มีสารบางชนิดสูงกว่ามาตรฐานสากล)
ไม่เปิดเผยข้อมูลดิบ
ไม่ให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการ
ข้อมูลภาคประชาชน
เก็บหลายจุดจากจุดเกิดปัญหา
ตรวจซ้ำหลายรอบ
อ้างอิงมาตรฐาน WHO
ร่วมมือกับนักวิชาการจาก ม.แม่ฟ้าหลวง ม.ราชภัฏเชียงราย ม.เชียงใหม่
เผยแพร่สู่สาธารณะทันที
“ถ้าข้อมูลของรัฐถูกต้องจริง ทำไมไม่กล้าเอามาวางข้างข้อมูลของชาวบ้าน?”

ในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง (Mekong River Commission – MRC) มีหลักการที่เรียกว่า ข้อมูลเปิดร่วม (Shared Data System)
ประเทศสมาชิก MRC ต้องแชร์ข้อมูลคุณภาพน้ำอย่างเปิดเผย
แม้ไม่มีอำนาจบังคับใช้ทางกฎหมาย แต่มาตรฐานเหล่านี้ช่วยให้เกิดแรงกดดันทางการเมืองและสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาค
แต่ในกรณีแม่น้ำกก ไทยและเมียนมายังไม่มีแม้แต่ กรอบการแชร์ข้อมูลน้ำร่วมกันแบบเป็นระบบ
การขาดระบบข้อมูลร่วม เปิดช่องให้ แต่ละประเทศใช้ข้อมูลแบบเลือกข้าง
ไทยก็อ้างว่า “ยังไม่เกินค่ามาตรฐาน”
เมียนมาก็บอกแค่ว่า “เป็นเหมืองแร่ผิดกฎหมาย”
สุดท้าย คนที่อยู่ริมแม่น้ำ คือคนที่ต้องแบกรับความเสี่ยง
เมื่อมองผ่านกรอบกฎหมายสากล รัฐมีพันธะอะไร?
ตามหลักการของ UN Watercourses Convention (1997)
ประเทศต้นน้ำมีพันธะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญกับประเทศปลายน้ำ
มีหน้าที่ต้อง แจ้งเตือนล่วงหน้า, ปรึกษาหารือ และ แบ่งปันข้อมูล
แม้ไทยและเมียนมาไม่ได้ลงนามในอนุสัญญานี้โดยตรง แต่แนวคิดเรื่อง หลักไม่ก่ออันตราย (No Harm Principle) เป็นหลักการสากลที่ยอมรับกันทั่วไป
เมื่อข้อมูลชาวบ้านและนักวิชาการเริ่มเปิดโปงสิ่งที่รัฐไม่ยอมพูด รัฐไทยจึงมีภาระทาง “จริยธรรมระหว่างประเทศ” ที่จะต้องจัดระบบข้อมูลและร่วมมือกับเมียนมาอย่างโปร่งใส
ไม่ใช่แค่ “ปัดตกทุกอย่าง” ด้วยคำว่า “ยังไม่เกินมาตรฐานและยังปลอดภัย”

เพราะข้อมูลคืออำนาจ
และเมื่อรัฐผูกขาดข้อมูล เขาก็ผูกขาดความจริง
เมื่อใดที่รัฐกลัวความจริงจากประชาชน แสดงว่าเขากลัวการเปลี่ยนแปลง
“ถ้าข้อมูลของประชาชนไม่มีความหมาย งั้นรัฐควรหยุดใช้คำว่า ‘ประชาชนมีส่วนร่วม’ ได้แล้ว”
ข้อเสนอแนะท้ายตอน เมื่อข้อมูลรัฐขัดกับชีวิตคนริมแม่น้ำกก
- จัดตั้งระบบฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อมสาธารณะ ร่วมกับภาคประชาชน ในระดับจังหวัด
- เปิดเผยทุกผลตรวจคุณภาพน้ำ–ปลา–ดิน แบบ raw data ภายใน 7 วัน หลังการตรวจสอบ
- ผลักดันให้ไทย–เมียนมา จัดตั้ง “คณะทำงานด้านข้อมูลน้ำข้ามแดน” ในกรอบ GMS หรือกรอบทวิภาคีอื่น
- ใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศเป็นแนวทางกดดันเมียนมาให้รับผิดชอบในทางการทูต
บทความโดย ตาล วรรณกูล กรรมการบริหาร สคส.