
ปลายฤดูฝนปีนี้ สายน้ำกกที่ไหลจากรัฐฉานของเมียนมาเข้าสู่จังหวัดเชียงราย ไม่ได้พกเพียงน้ำหลากและตะกอนธรรมชาติ แต่พก “สารพิษ” มาด้วย ทั้งโลหะหนักจากกิจกรรมเหมืองแร่ในฝั่งเมียนมา ที่กำลังค่อย ๆ ทำให้ชุมชนไทยริมแม่น้ำเผชิญโรคเรื้อรัง เด็กบางคนมีสารตะกั่วและแมงกานีสในเลือดสูงกว่าค่ามาตรฐาน อวนดักปลาได้เพียงปลาที่ไม่สามารถกินได้หรือมีรอยแผลประหลาด
ท่ามกลางเสียงร้องขอของชาวบ้าน รัฐบาลไทยมีคำตอบหนึ่งเรียกว่า “สร้างฝายดักตะกอน” เพื่อกักสิ่งสกปรกไม่ให้ไหลเข้าสู่ตอนล่างของแม่น้ำ

“ฝายดักตะกอนมันเหมือนการกวาดฝุ่นไปซ่อนใต้พรม”
นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“คุณกักตะกอนพิษไว้ แต่คุณไม่ได้ทำลายพิษนั้น”
ปัญหาคือ ฝายดักตะกอนที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ไม่มีการทำ EIA หรือรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ไม่มีเวทีรับฟังความเห็นชุมชน และไม่ได้สนใจบทเรียนจากคดีมลพิษที่โด่งดังที่สุดคดีหนึ่งในไทยที่ลำห้วยคลิตี้
บนกระดาษ ฝายดักตะกอนดูเหมือนเป็นคำตอบที่ง่ายและประหยัด แค่สร้างกำแพงคอนกรีตขวางลำน้ำเพื่อให้ตะกอนตกค้าง ไม่ไหลลงไปด้านล่าง
แต่ความจริงทางวิทยาศาสตร์ไม่โหดน้อยไปกว่ากฎหมาย ระบบแม่น้ำแบบไหลต่อเนื่อง (lotic system) มีพลังน้ำที่เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลและและปริมาณฝน ทำให้ฝายดักตะกอนอาจเต็มไปด้วยตะกอนในเวลาไม่นาน และเมื่อฝายเต็มหรือเกิดน้ำหลาก สารพิษทั้งหมดจะถูกปล่อยกลับลงแม่น้ำพร้อมแรงดันมหาศาล
ผลการวิจัยของกรมควบคุมมลพิษเอง กรณีคลิตี้เคยระบุว่า “การดักตะกอนในระบบน้ำไหลไม่สามารถกักเก็บสารพิษได้ถาวร และมีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่กระจายซ้ำ”
กรณีศึกษาในสหรัฐฯ และออสเตรเลียก็ชี้คล้ายกัน ฝายที่สร้างเพื่อดักโลหะหนักจากเหมืองทองแดงในรัฐมอนทานา และเหมืองดีบุกในรัฐควีนส์แลนด์ ล้วนล้มเหลวในระยะยาว
ย้อนกลับไปปี 2541 น้ำในลำห้วยคลิตี้ จ.กาญจนบุรี กลายเป็นสีดำปนเขียว มีปลาลอยตาย ชาวบ้านป่วยด้วยอาการคล้ายพิษตะกั่ว ต้นเหตุคือเหมืองตะกั่วในพื้นที่ ทิ้งกากแร่ลงลำห้วยโดยตรง
รัฐเลือกสร้างฝายดักตะกอนหลายจุดแบบไม่มี EIA ไม่มีการวางแผนฟื้นฟูทั้งระบบ
สิบกว่าปีต่อมา ศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้กรมควบคุมมลพิษต้องฟื้นฟูลำห้วย แต่การตรวจซ้ำยังพบว่าตะกอนตะกั่วในน้ำและดินสูงกว่ามาตรฐานหลายเท่า และบางจุดสูงกว่าตอนเกิดเหตุเสียอีก

“ฝายที่คุณสร้างวันนี้ จะกลายเป็นระเบิดเวลาในวันหน้า”
นักวิชาการด้านทรัพยากรน้ำ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กล่าวไว้
การสร้างฝายดักตะกอนในแม่น้ำสายหลักที่มีชุมชนพึ่งพาน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค เข้าข่ายโครงการที่ต้องทำ EIA ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ พ.ศ.2535 และต้องเปิดเวทีรับฟังความเห็นชุมชนตาม รัฐธรรมนูญ ม.43 และ ม.58
นอกจากนี้ ไทยยังเป็นภาคีในกรอบ Mekong River Commission (MRC) และมีพันธกรณีตาม UNEP Principles on Transboundary Pollution ที่กำหนดให้ต้องปรึกษาและแจ้งเตือนเมื่อมีการดำเนินโครงการที่อาจส่งผลกระทบข้ามพรมแดน
การไม่ทำ EIA และไม่เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ อาจตีความได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิประชาชนและพันธกรณีระหว่างประเทศ
บทเรียนคลิตี้สอนเราว่า การแก้ปัญหาแบบปลายเหตุด้วยฝายดักตะกอนเป็นเพียงการซื้อเวลาและโยนปัญหาไปสู่อนาคตที่เลวร้ายกว่าเดิม

ข้อเรียกร้องจากชุมชนริมแม่น้ำกกและแม่น้ำสายมีอย่างน้อย 4 ข้อ
- หยุดแผนก่อสร้างฝายดักตะกอนทันที จนกว่าจะมี EIA และเวทีรับฟังความเห็น
- ตั้งคณะทำงานร่วมไทย–เมียนมา ภายใต้กรอบ MRC หรือ GMS เพื่อแก้ปัญหาที่ประเทศต้นทาง
- ตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และสิ่งมีชีวิต อย่างต่อเนื่อง และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ
- ฟื้นฟูแม่น้ำด้วยวิธีการที่พิสูจน์แล้ว ว่าลดมลพิษได้จริง และมีงานวิจัยรองรับ
“พวกเราไม่ต้องการกำแพง เราต้องการน้ำที่ดื่มได้ ปลาที่กินได้ และแม่น้ำที่ลูกหลานจะเล่นน้ำได้เหมือนเมื่อก่อน”
ชาวบ้านริมแม่น้ำกกสะท้อนความจริง
แม่น้ำไม่พูด แต่สายน้ำบันทึกทุกสิ่งที่เราทำกับมัน และจะคืนคำตอบให้ในวันหนึ่ง ฝายดักตะกอนพิษอาจยืนตระหง่านในวันนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป น้ำจะตัดสินว่าเราแก้ปัญหาหรือเพียงสร้างภาพ
บทความโดย ตาล วรรณกูล กรรมการบริหาร สคส.