
“พร้อมที่จะบอกกับประชาชนทั้งหลายว่า คุณภาพน้ำ เกี่ยวกับเรื่องการประมงรวมไปถึงปลาและสัตว์น้ำต่าง ๆ ไม่มีปัญหา น้ำที่เอาไปใช้ในการเกษตร ไม่มีปัญหา เรื่องอาการเจ็บป่วยจากสารปนเปื้อนต่าง ๆ ในแม่น้ำ ไม่เป็นปัญหา”
พล.ท.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี https://www.youtube.com/watch?v=hiIGHT61zOs

เมื่อแม่น้ำสายกับแม่น้ำกกส่งเสียงเดียวกัน
กลางปี 2567 น้ำในลำน้ำสายเปลี่ยนสีไหลขุ่นคล้ำ แม่น้ำรวกข้างเคียงกลายเป็นน้ำเหม็น ชาวบ้านใน ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย เห็นปลาตายในกระชังทุกวัน เด็กเล็กมีอาการผื่นขึ้น หอบเหนื่อย ปวดศีรษะ
ขณะเดียวกัน ลำน้ำกก ซึ่งไหลผ่านเมืองเชียงราย ไม่ไกลจากแนวชายแดน ก็เริ่มปรากฏอาการ “เหมือนกันเป๊ะ”
ในเดือนกรกฎาคม 2567 ชาวบ้านใน ต.ห้วยสัก และ ต.ดงมะดะ ส่งปลานิลจากแม่น้ำกกไปตรวจ พบสารหนูและแมงกานีสตกค้างสูงเกินมาตรฐาน
มีเด็กในพื้นที่มีผลตรวจเลือดพบสารโลหะหนัก โดยเฉพาะตะกั่วและแมงกานีสในระดับที่ “อาจก่อผลกระทบต่อระบบประสาท”
ประชาชนบางส่วนที่ใช้แม่น้ำกกเพื่อการอุปโภคบริโภค พบอาการทางระบบประสาท เช่น ปวดหัวเรื้อรัง เหนื่อยล้า และชาแขนขา
แต่คำตอบของรัฐ คือคำพูดเดิม ๆ
“ไม่พบค่าปนเปื้อนเกินมาตรฐาน”
“อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย”
“น้ำยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ”
แต่ประชาชนไม่ได้โง่ และไม่รอให้ตายก่อนถึงจะได้คำตอบ
ข้อมูลจากกลุ่มประชาชนเฝ้าระวังแม่น้ำกก ระบุว่า จุดต้นน้ำที่เปลี่ยนสีอย่างผิดปกติสอดคล้องกับตำแหน่งของลำห้วยที่ไหลลงมาจากฝั่งประเทศเมียนมา โดยเฉพาะพื้นที่เหมืองแร่และแหล่งถลุงแร่เล็ก ๆ ที่กำลังขยายตัว
ชาวบ้านร่วมกับนักวิชาการอาสาเก็บตัวอย่างทั้งน้ำ ตะกอน และพืชผลทางการเกษตร พบสารหนู (As), แมงกานีส (Mn), และตะกั่ว (Pb) ในระดับที่สูงเกินค่ามาตรฐานของ WHO อย่างชัดเจน โดยเฉพาะน้ำจากแม่น้ำกก ซึ่งควรจะเป็นแหล่งหาอาหารของครัวเรือนชายแดน มีสารโลหะหนักเกินกว่าที่คนควรบริโภคได้เกิน 45 เท่าในบางตัวอย่าง
จากรายงานผลการวิเคราะห์ปริมาณโลหะหนักในพื้นที่ลุ่มน้ำกก – ลุ่มน้ำสาย โดย ผศ.ดร. ว่าน วิริยา ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งดำเนินการตรวจวิเคราะห์ทางเคมีจากตัวอย่างน้ำ 27 ตัวอย่าง ดิน 12 ตัวอย่าง ตะกอน 18 ตัวอย่าง และพืชผลทางการเกษตร 9 ตัวอย่าง เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา พบว่า
บริเวณพรมแดนไทยพม่าในท้องที่ตำบลท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีปริมาณการปนเปื้อนของสารเคมีในแม่น้ำกก ได้แก่ สารหนู (AS) สูงถึง 0.44 mg/L ตะกั่ว (Pb) 1.40 mg/L แมงกานิส (Mn) 8.7 mg/L นิกเกิล (Ni) 0.69 mg/L และทองแดง (Cu) 0.29 mg/L
ซึ่งสารหนูที่ตรวจพบในแม่น้ำกกสูงเกินค่ามาตรฐานของ WHO (0.01 mg/L) ถึง 45 เท่า

เมื่อชาวบ้านบางคนถามว่า “แล้วเราสามารถสัมผัสกับแม่น้ำของเราได้ไหม?”
“ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำจากแม่น้ำโดยตรง” ผศ.ดร.วรางคณา นาคเสน นักวิชาการด้านสาธารณะสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตอบด้วยเสียงอันหนักแน่น
ปฏิกิริยาของรัฐ ปฏิเสธ บิดเบือน และเพิกเฉย
รัฐเก็บตัวอย่างน้ำในช่วงเวลาที่น้ำเจือจาง ฝนตกหนัก และใช้ “ค่ามาตรฐานของไทย” ซึ่งอนุญาตให้มีสารหนูมากกว่า WHO ถึง 5 เท่า หรือ 0.05 mg/L
ไม่มีการเปิดเผยค่าดิบ (raw data)
ไม่มีการประชุมสาธารณะร่วมกับชาวบ้าน
ไม่มีการเยียวยาเด็กที่ตรวจพบโลหะหนักในเลือด
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และอาจไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
การปฏิเสธเสียงของประชาชน ไม่ได้เกิดแค่ในแม่สาย
แต่มันกำลัง “ลามมาสู่เมืองเชียงราย”
และถ้ารัฐยังไม่หยุดทำตัวเป็นศูนย์กลางความจริง คนจะลุกขึ้นยึดสิทธิความจริงกลับคืนมา

ความรู้ชาวบ้านไม่ใช่เรื่อง “ปากเปล่า” อีกต่อไป
รัฐธรรมนูญไทย มาตรา43ประชาชนมีสิทธิในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ
พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ มาตรา11ประชาชนมีสิทธิได้รับข้อมูลด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
จากรายงานการเก็บข้อมูลผู้ใช้แม่น้ำกก ที่ดำเนินร่วมกันของชาวบ้านในพื้นที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และในหลายอำเภอ ของจ.เชียงราย กับ มูลนิธิร่มโพธิ์, สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, สภาองค์กรผู้บริโภคและสมัชชาสุขภาพจังหวัดเชียงใหม่, มูลนิธิพัฒนานานาเผ่าไร้พรมแดน, ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพจังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์สร้างสรรค์เด็กและเยาวชนอำเภอฝาง และสมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ พบว่า
3 กลุ่มหลักที่รับรู้ปัญหาการปนเปื้อน ได้แก่ กลุ่มผู้ใช้น้ำ กลุ่มประมงท้องถิ่น และกลุ่มผู้ประกอบการ มีสัดส่วนใกล้เคียงกันที่ 97% 96% และ 97% ตามลำดับ ซึ่งทั้งหมดแสดงความกังวลต่อการปนเปื้อนจากมลพิษข้ามพรมแดน
ชาวบ้านกังวลว่า ปลา ผัก ผลไม้ และสัตว์เลี้ยงอาจปนเปื้อนสารพิษ บางครัวเรือนเริ่มซื้ออาหารจากนอกพื้นที่มาบริโภค
ชาวบ้านกังวลว่า จะเกิดโรคเรื้องรัง เช่นมะเร็งผิวหนัง และระบบทางเดินอาหาร รวมทั้งความกังวลต่อสุขภาพของเด็กและผู้สูงอายุ
ชาวบ้านกังวลว่า รายได้จากการทำประมง และเกษตรกรรมจะลดลง บางครัวเรือนต้องหางานเสริม หรือย้ายออกจากพื้นที่
และชาวบ้านยังกังวลอีกว่า ประเพณีและกิจกรรมชุมชนบางอย่างจะหายไป และมีความรุ้สึกว่าชุมชนไม่เหมือนเดิม

การที่ชาวบ้านรับรู้ว่าแม่น้ำของเขามีสารพิษ และเกิดความกังวล
การที่เด็กติดโลหะหนักในเลือด
และการที่แม่น้ำเปลี่ยนสี
คือ หลักฐานของความรู้จากชีวิตจริง
แต่รัฐกลับมองว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มีน้ำหนัก เพราะไม่ได้มาจาก “ห้องแล็บของรัฐ”
คำถามคือ แล้วห้องแล็บของรัฐมีไว้เพื่อใคร?
น้ำอาจไหลลงต่ำ แต่สารพิษไม่เลือกว่าใครเป็นใคร
และรัฐไทยก็กำลังไหลตามสารพิษ ลงสู่หุบเหวของความล้มเหลวซ้ำซาก
ถ้าเรายอมให้รัฐบอกว่าสิ่งที่เราเห็น “ไม่มีอะไร”
วันหนึ่งเราจะไม่มีแม่น้ำให้ลูกหลาน
ไม่มีดินสะอาดให้ปลูกข้าว
ไม่มีเด็กสุขภาพดีให้สานฝัน
และไม่มีอนาคตที่ไม่ถูกปนเปื้อน
ข้อเสนอทิ้งท้ายตอน เมื่อชาวบ้านรู้ทันรัฐ น้ำกกเปลี่ยนสี แต่รัฐบอก “ไม่มีอะไร”
- ประกาศพื้นที่เสี่ยงมลพิษข้ามแดน ริมแม่น้ำกก แม่น้ำรวก และแม่น้ำสาย โดยให้สิทธิชุมชนมีส่วนร่วม
- บังคับเปิดเผย raw data ทุกชุดตรวจที่เกี่ยวกับคุณภาพน้ำและผลเลือดของเด็ก
- เยียวยาครอบครัวที่เด็กตรวจพบโลหะหนักในเลือด และตั้งกองทุนตรวจสุขภาพฟรีในชุมชนแนวแม่น้ำ
- ออก พ.ร.บ.ข้อมูลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน เพื่อรับรองสิทธิชุมชนในการรู้และสู้ด้วยข้อมูล
- ตั้งคณะกรรมการสอบสวนอิสระแบบ multi-stakeholder ระดับจังหวัด ร่วมกับ สสจ., มหาวิทยาลัย, และภาคประชาชน
บทความโดย ตาล วรรณกูล – กรรมการบริหาร สคส.