
“ปัญหาน้ำปนเปื้อนในลุ่มน้ำกกเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาโดยตลอด และได้กำหนดให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาอย่างรอบด้าน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐบาลมุ่งมั่นดำเนินการด้วยความโปร่งใส จริงใจ และยึดประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นศูนย์กลางในทุกขั้นตอน พร้อมรายงานความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและทันเหตุการณ์ ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า ทุกปัญหาจะได้รับการแก้ไขอย่างดีที่สุด เพื่อสร้างความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต และอนาคตที่ยั่งยืนของประชาชนในพื้นที่และประเทศชาติต่อไป”
ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (18กรกฎาคม2568) https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/98516?utm_source=chatgpt.com

เมื่อแม่น้ำเป็นพรมแดนที่ไม่มีรัฐบาลกล้าข้าม
แม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำสาย อาจมีต้นน้ำอยู่ในฝั่งเมียนมา แต่ผู้ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่กลับอยู่ในฝั่งไทย
เรากำลังพูดถึง พรมแดนมลพิษ ที่สารพิษไม่รู้จักคำว่า “ประเทศ” และไหลผ่านพรมแดนทุกวินาที
แต่ประเทศไทยกลับเลือกที่จะนิ่งเฉยอย่างน่าประหลาดใจ ไม่กล้าแม้แต่จะใช้ “เครื่องมือทางการทูต” ที่มีอยู่ในมือ ทั้งที่ปัญหานี้กระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนคนไทยโดยตรง
ไม่มีแม้แต่จะ “ประท้วงทางการทูต” (Diplomatic Protest) อย่างเป็นทางการ ซึ่งในมาตรฐานสากลถือเป็นขั้นตอนขั้นต้นสุดในการแสดงความไม่พอใจต่อการกระทำของประเทศเพื่อนบ้านที่ก่อให้เกิดผลกระทบข้ามพรมแดน
ไม่มีการจัดตั้ง “คณะเจรจาสิ่งแวดล้อมทวิภาคี” ที่มีอำนาจต่อรองและติดตามผลอย่างจริงจัง ทั้งที่ในอดีตก็เคยมีกรณีศึกษา เช่น คณะทำงานร่วมไทย–ลาวในปัญหาการจัดการแม่น้ำโขง
ไม่มีการหยิบยกเรื่องนี้เข้าสู่เวทีระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น
GMS (Greater Mekong Subregion) ที่มีบทบาทชัดเจนด้านความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำ
หรือ ASEAN ที่แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายใน แต่ก็มีกรอบความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน
หรือแม้กระทั่งเวทีสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมกับสิทธิในการดำรงชีวิตอย่างปลอดภัยของพลเมือง
สิ่งที่มีเพียงอย่างเดียว คือคำพูดซ้ำซากจากปากเจ้าหน้าที่รัฐว่า
“เราจะหารือเป็นการภายในกันก่อน”
คำพูดนี้ถูกใช้เป็นเกราะกำบังมานานหลายปี ไม่ต่างจากการ “ซื้อเวลา” โดยไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ที่จับต้องได้ ขณะที่สารพิษยังคงไหลลงแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวกทุกวัน
นี่ไม่ใช่แค่ความล้มเหลวในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่เป็นความล้มเหลวทางการเมือง การทูต และความรับผิดชอบต่อประชาชนอย่างถึงแก่น

ดูอย่างกรณี โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ญี่ปุ่น – เกาหลีใต้ – จีน
การปล่อยน้ำบำบัดจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะของญี่ปุ่นลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญในการจัดการมลพิษทางน้ำข้ามพรมแดน
นานาประเทศไม่ว่า จีน เกาหลีใต้ ฮ่องกง และประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก รวมถึงอเมริกาและรัสเซีย ต่างก็รุมประณามและต่อต้านการตัดสินใจของญี่ปุ่น มีการออกมาตรการงดนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น และเรียกร้องความโปร่งใสและเปิดเผยข้อมูล เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศต้นเหตุที่ทำให้เกิดผลกระทบไปยังหลายประเทศ โดยเฉพาะเกาหลีใต้และจีน
แรงกดดันดังกล่าวบีบให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องเจรจาทวิภาคีกับเกาหลีใต้และจีน มีการดำเนินการด้านความโปร่งใสทางวิทยาศาสตร์พร้อมทั้งเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ส่งผลให้ International Atomic Energy Agency (IAEA) หรือที่เรียกว่า ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ ได้ตั้งหน่วยงานติดตามและตรวจสอบการดำเนินการของญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง
ตัดภาพมาที่กรณีแม่น้ำกก สถานการณ์สารพิษจากฝั่งเมียนมาที่ไหลข้ามพรมแดนเข้าสู่ไทยมีความรุนแรงไม่ต่างกัน แต่สิ่งที่ต่างอย่างสิ้นเชิงคือ ท่าทีของรัฐบาลไทย
แม้ไทยจะเป็นสมาชิกเต็มตัวของเวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (GMS) ซึ่งครอบคลุมทั้งมิติการค้า การลงทุน และสิ่งแวดล้อม แต่กลับไม่มีความพยายามใช้ช่องทางนี้เพื่อกดดันเมียนมาเลยแม้แต่น้อย
ไม่มีการประท้วงอย่างเป็นทางการ
ไม่มีการหยิบยกเข้าที่ประชุม GMS หรือแม้แต่เวทีสิ่งแวดล้อมของอาเซียน
ผลที่เกิดขึ้นคือ สถานการณ์ในแม่น้ำกกยังคงดำเนินไปแบบ “น้ำไหล สารพิษไหล” ขณะที่ฝั่งไทยยังวนอยู่ในวาทกรรมเดิม “เราจะหารือภายในกันก่อน” ต่างจากเกาหลีใต้กับจีนที่เลือกเปิดเกมทูตเชิงรุกและได้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้

ไทยกลัวอะไร? ทำไมไม่กล้าเจรจากับเมียนมา?
การที่รัฐบาลไทยไม่ยอมแม้แต่จะเปิดประเด็นมลพิษข้ามพรมแดนกับเมียนมาอย่างจริงจัง อาจไม่ได้เกิดจาก “ความไม่รู้” แต่เกิดจาก “ความกลัว” และ “ผลประโยชน์” ที่พันกันแน่น
กลัวกระทบการค้าและเศรษฐกิจชายแดน
แม่น้ำกกและแม่สายเป็นหัวใจของการค้าชายแดนไทย–เมียนมา มีมูลค่าการค้าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี ตลาดชายแดนเต็มไปด้วยสินค้าเกษตร สินค้าอุปโภคบริโภค ไปจนถึงสินค้าลักลอบที่เจ้าหน้าที่หลายฝ่ายก็รู้แต่เลือกทำเป็นไม่รู้
และที่สำคัญกว่านั้นมี นักธุรกิจไทยบางกลุ่มที่ลงทุนในเหมืองฝั่งเมียนมา ไม่ว่าจะเป็นเหมืองแร่ทองคำหรือเหมืองดีบุก ซึ่งมีข่าวลือหนาหูว่าเกี่ยวพันกับ “คนใกล้ชิดผู้มีอำนาจ” ในไทย การเปิดประเด็นมลพิษอย่างเป็นทางการจึงเท่ากับเปิดโปงผลประโยชน์เหล่านี้ต่อสาธารณะ
ดังนั้นความเงียบจึงไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นความเงียบที่มีราคา
กลัวกระทบความสัมพันธ์ทางทหารและความมั่นคง
เมียนมากำลังอยู่ท่ามกลางสงครามกลางเมือง รัฐบาลทหารของเขาต้องพึ่งพาการค้ำยันจากประเทศเพื่อนบ้าน และไทยก็ใช้ “สายสัมพันธ์ทางทหาร” เป็นช่องทางเจรจาหลัก
ปัญหาคือ ความสัมพันธ์นี้มักแลกมาด้วยการหลีกเลี่ยงประเด็นอ่อนไหว รัฐไทยไม่อยากถูกเมียนมามองว่า “แทรกแซงกิจการภายใน” แม้ประเด็นนั้นจะเป็นมลพิษข้ามแดนที่กระทบสุขภาพประชาชนคนไทยเองก็ตาม
คำถามง่าย ๆ ที่ไม่มีใครในรัฐบาลกล้าตอบก็คือ
แล้วชีวิตคนชายแดนไทยล่ะ? มันไม่สำคัญกว่าสายสัมพันธ์หรือไง?
ไม่มีกลไกการทูตสิ่งแวดล้อมถาวร
นี่คือปัญหาเชิงโครงสร้าง ประเทศไทยไม่มีหน่วยงานใดที่มีหน้าที่ชัดเจนในการรับผิดชอบ “การทูตสิ่งแวดล้อมข้ามแดน”
เวลามีปัญหาเกิดขึ้น กระทรวงการต่างประเทศก็โยนให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดการ
กระทรวงทรัพยากรฯ ก็โยนต่อให้กรมควบคุมมลพิษ
และกรมควบคุมมลพิษ… ก็เงียบสนิทเหมือนเป่าสากในสุญญากาศ
ระบบราชการไทยจึงเหมือนการเล่น “ปิงปองความรับผิดชอบ” ไม่มีใครอยากเป็นเจ้าภาพ เพราะมันไม่สร้างผลงานเชิงการเมืองและอาจกระทบผลประโยชน์ของชนชั้นนำ

กรอบกฎหมายระหว่างประเทศที่ “รัฐบาลไทยควรใช้แต่ไม่กล้าใช้”
ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution (2002)
ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่วมลงนามและให้สัตยาบันตั้งแต่ต้น กรอบนี้กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องรับผิดชอบต่อมลพิษข้ามพรมแดน ในที่นี้คือ “หมอกควันข้ามแดน” และร่วมมือกันแก้ไข
ปัญหาคือ ไทยไม่เคยแม้แต่จะเสนอในที่ประชุมอาเซียนให้ขยายขอบเขตความร่วมมือจากหมอกควัน ไปสู่ “มลพิษทางน้ำ” ทั้งที่หลักการพื้นฐานของข้อตกลงก็สามารถปรับใช้กับกรณีแม่น้ำกก-สาย-รวกได้ทันที
ทำไมไม่กล้า? เพราะการเปิดประเด็นนี้จะเท่ากับ “เขย่าโต๊ะ” ในอาเซียน ทำให้ต้องเปิดข้อมูลมลพิษที่มีหลักฐานโยงไปยังเหมืองในเมียนมา ซึ่งเกี่ยวพันกับนักลงทุนไทยบางส่วน รวมถึงอาจสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลเมียนมา ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยพยายามหลีกเลี่ยง
Convention on the Law of the Non-Navigational Uses of International Watercourses (1997)
อนุสัญญานี้ของสหประชาชาติเป็นกรอบหลักที่กำหนดการใช้และการปกป้องแม่น้ำข้ามพรมแดนอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน แม้ไทยยังไม่ลงนาม แต่ก็สามารถใช้หลักการสำคัญของอนุสัญญานี้ในการเจรจาได้ เช่น
No Harm Principle ห้ามประเทศต้นน้ำก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศปลายน้ำ
Prior Notification ต้องแจ้งให้ประเทศปลายน้ำทราบก่อนดำเนินโครงการที่อาจกระทบ
Shared Responsibility ร่วมกันแก้ปัญหาและฟื้นฟู
ทำไมไม่กล้า? เพราะการหยิบหลักการเหล่านี้มาใช้ แม้จะไม่ลงนาม ก็เป็นการ “ตีกรอบข้อผูกพัน” ให้ตัวเองต้องทำตามเช่นกัน รัฐบาลไทยเกรงว่าถ้าในอนาคตตนเองมีโครงการเขื่อนหรือกิจการที่กระทบประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะถูกย้อนศรใช้หลักการเดียวกันมากดดัน
The Escazú Agreement (Latin America and the Caribbean)
เป็นข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก เน้นการเปิดเผยข้อมูล การมีส่วนร่วมของประชาชน และการคุ้มครองนักปกป้องสิ่งแวดล้อมในปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน
แม้ไทยไม่ได้อยู่ในภูมิภาคนั้น แต่ Escazú เป็นต้นแบบชั้นดีที่ไทยสามารถอ้างอิงในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อกดดันให้เกิดมาตรฐานใกล้เคียงในอาเซียน
ทำไมไม่กล้า? เพราะหากใช้โมเดลนี้ ไทยจะต้องเปิดข้อมูลมลพิษทุกอย่างต่อสาธารณะ ซึ่งอาจทำให้ประชาชนมีหลักฐานชัดเจนไปฟ้องร้องหน่วยงานรัฐหรือนักลงทุนที่เกี่ยวข้อง จึงขัดกับวัฒนธรรม “ปกปิด–ต่อรองใต้โต๊ะ” ที่ฝังรากในระบบราชการและการเมืองไทย
กรอบกฎหมายเหล่านี้ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ แต่ตรงกันข้าม มันคืออาวุธทางกฎหมาย ที่จะช่วยต่อรองกับเมียนมาได้อย่างมีน้ำหนัก แต่รัฐบาลไทยเลือกเก็บไว้ในลิ้นชัก เพราะกลัวเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ กลัวถูกผูกมัดในอนาคต และกลัวเปิดข้อมูลจนสังคมรู้ความจริง
สมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการ
- จัดตั้ง “กลไกการทูตสิ่งแวดล้อมถาวร” ในกรอบ GMS หรือ ASEAN โดยมีไทยเป็นแกนกลาง
- สร้างแนวทางการเจรจาข้ามพรมแดนแบบ Bottom-Up โดยมีชาวบ้าน องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) และภาควิชาการร่วมเป็นคณะเจรจา
- เสนอให้รัฐบาลไทยยอมรับ “สิทธิเสรีภาพในข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน” เป็นพันธกรณีของรัฐในเวทีระหว่างประเทศ
- เปิดเวที Parallel Public Diplomacy การทูตภาคประชาชน ที่ขับเคลื่อนการเจรจาข้ามชาติผ่าน NGOs, นักข่าว, นักวิชาการ
น้ำไม่เลือกพรมแดน สารพิษไม่ขอวีซ่า
แล้วเหตุใดสิทธิของประชาชนจึงต้องถูกกักไว้ที่ชายแดน?
ถึงเวลาที่รัฐบาลไทยต้องกล้าพูดเรื่องจริง กับทั้งเมียนมา และกับประชาชนของตัวเอง
บทความโดย ตาล วรรณกูล กรรมการบริหาร สคส.