
ทบทวน 3 ตอนที่ผ่านมาเราคุยกันเรื่องอะไร
ตอนที่ 1 เมื่อชาวบ้านรู้ทันรัฐ น้ำกกเปลี่ยนสี แต่รัฐบอก “ไม่มีอะไร” ประชาชนเริ่มตื่นรู้ เพราะเห็นลูกหลานเจ็บป่วย เห็นปลานิลลอยตาย และเห็นรัฐเมินเฉย
ตอนที่ 2 เมื่อข้อมูลรัฐขัดกับชีวิตคนริมแม่น้ำกก ข้อมูลของรัฐไม่เคยสะท้อนความจริงของชาวบ้าน เพราะรัฐผูกขาดการนิยามว่า “น้ำดีหรือมีพิษ”
ตอนที่ 3 ไทยกลัวอะไรเมื่อต้องพูดเรื่องแม่น้ำกับเมียนมา? การทูตสิ่งแวดล้อมของไทยกลายเป็นกลวงเปล่า ไม่มีแม้แต่ความพยายามเรียกร้อง หรือกดดันเมียนมา
แต่สิ่งที่เรายังไม่เคยมี คือ “นโยบายแห่งความกล้า”
ที่จะยอมรับว่า “มลพิษข้ามแดน” ไม่ใช่เรื่องเทา ๆ
มันคือเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” เรื่องของชีวิตคน
เรื่องของ “ความเป็นธรรมระหว่างรัฐกับประชาชน”

โครงสร้างความล้มเหลวของรัฐบาลไทย ทำไมจึงจัดการปัญหานี้ไม่ได้
เพราะขาดสถาบันกลางด้านการทูตสิ่งแวดล้อมข้ามแดน
ปัญหามลพิษข้ามแดนไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคการตรวจคุณภาพน้ำ แต่เป็นเรื่องการทูต การเมือง และเศรษฐกิจในเวลาเดียวกัน
แต่ประเทศไทยกลับ ไม่มีศูนย์กลางประสานงานที่มีอำนาจข้ามกระทรวง และสามารถสั่งการได้เหมือน National Environmental Diplomacy Office ที่หลายประเทศมี ตัวอย่างเช่น เวียดนามมีกลไก Committee for International River Basin ที่รวมเจ้าหน้าที่การทูต วิศวกรน้ำ และตัวแทนชุมชนอยู่ในคณะเดียวกัน
ในกรณีไทย ข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษข้ามแดนกระจัดกระจาย
กรมทรัพยากรน้ำ ดูแลปริมาณและคุณภาพน้ำในเขตแดน แต่ไม่มีอำนาจต่อรองกับต่างประเทศ
กรมควบคุมมลพิษ ทำการตรวจวัด แต่ไม่สามารถเข้าสู่โต๊ะเจรจาได้
กระทรวงการต่างประเทศ ถือกุญแจการเจรจาระหว่างประเทศ แต่ไม่ลงพื้นที่ และมักบอกว่า ต้องได้ข้อมูลยืนยันจากกระทรวงทรัพยากรฯ ก่อน
นอกจากนี้ ไม่มีพื้นที่ให้ชุมชนท้องถิ่นมีตัวแทนในเวทีเจรจา ต่างจากในยุโรปที่บางกรณี องค์กรชุมชนสามารถยื่นข้อมูลตรงต่อคณะกรรมาธิการแม่น้ำระหว่างประเทศได้
“เมื่อไม่มีคนรับผิดชอบโดยตรง ปัญหาก็จะถูกส่งต่อวนไปเรื่อย เหมือนลูกปิงปองที่ไม่มีใครอยากรับ”
เพราะระบบกฎหมายไทยไม่รู้จักมลพิษข้ามแดน
แม้ไทยมีกฎหมายสิ่งแวดล้อมหลักคือ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 แต่ไม่มีบทบัญญัติว่าด้วย “มลพิษที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน” เลย
นั่นหมายความว่า
ไม่มีขั้นตอนชัดเจนว่าหน่วยงานไหนต้องทำอะไรเมื่อมีมลพิษจากนอกประเทศ
ไม่สามารถฟ้องร้องบริษัทหรือต่างชาติในศาลไทยได้ตรง ๆ เพราะไม่มีฐานกฎหมายรองรับ
ไม่มีการรับรองสิทธิของประชาชนชายแดนต่อ “รัฐต่างประเทศที่ก่อมลพิษ” เช่น สิทธิในการเรียกร้องชดเชยหรือสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล
ต่างจาก ฟิลิปปินส์ ที่ในกฎหมายสิ่งแวดล้อมมีหมวดว่าด้วยมลพิษข้ามแดน และมีกลไกให้ NGOs หรือประชาชนสามารถฟ้องในนาม “สิทธิของสิ่งแวดล้อม” (environmental rights) ได้
กรณีแม่น้ำกกจึงติดล็อกทันที เพราะแม้จะมีหลักฐานปนเปื้อนจากฝั่งเมียนมา ก็ไม่มีช่องทางทางกฎหมายให้ใช้กดดันอย่างเป็นระบบ

เพราะขาดกลไกความร่วมมือภูมิภาคที่คนท้องถิ่นเข้าถึงได้
แม้ไทยจะเป็นสมาชิกกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาคหลายแห่ง เช่น GMS (Greater Mekong Subregion) และ ASEAN แต่เวทีเหล่านี้เป็น เวทีรัฐต่อรัฐ ประชาชนไม่มีสิทธิยื่นข้อมูลหรือเข้าร่วมการประชุมโดยตรง
กรอบ GMS เน้นเศรษฐกิจและคมนาคม ไม่มีกลไกบังคับด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน
ASEAN มีข้อตกลงด้านหมอกควันข้ามแดน แต่ไม่เคยขยายมาสู่เรื่องน้ำ
MRC (Mekong River Commission) ไทยใช้เป็นเวทีติดตามแม่น้ำโขง แต่ไม่เคยเสนอให้ครอบคลุมแม่น้ำกกหรือสาขาอื่น
ขณะเดียวกัน ไม่มีหน่วยงานระดับจังหวัดที่สามารถเข้าร่วมโดยตรงในกรอบเหล่านี้ ทำให้ข้อมูลจากชุมชนไม่เคยถูกนำเสนอในเวทีระหว่างประเทศ
ดังนั้นสรุปว่า (ตบโต๊ะดังปั้ง)
- ไม่มีแม่ทัพคุมศึกสิ่งแวดล้อมข้ามแดน
ไทยปล่อยให้หน่วยงานโยนปัญหากันไปมาเหมือนเล่นปิงปอง ไม่มีใครเป็นหัวขบวนเจรจา ทั้งที่ควรตั้ง “ศูนย์บัญชาการทูตสิ่งแวดล้อม” ขึ้นมาเพื่อรวบรวมข้อมูล กำลังคน แล้วลุยทันทีบนโต๊ะเจรจาระหว่างประเทศ - กฎหมายไทยโบราณ ไม่รู้จักคำว่า ‘มลพิษข้ามแดน’
พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม 2535 เหมือนโทรศัพท์รุ่นแรก ที่โทรได้แต่ส่งไลน์ไม่ได้ มันไม่รองรับการจัดการมลพิษที่ไหลมาจากประเทศเพื่อนบ้าน รัฐไทยต้องกล้าปรับปรุงกฎหมาย เพิ่มสิทธิประชาชนชายแดน และเปิดช่องให้ฟ้องร้องต่างชาติได้ - เวทีภูมิภาคก็มี แต่ไทยเอาไว้ตั้งโชว์
เราอยู่ทั้ง GMS, ASEAN, แต่ไม่เคยใช้เวทีเหล่านี้เปิดศึกเรื่องน้ำพิษเลย แถมปิดประตูไม่ให้ชุมชนเข้าไปเสนอข้อมูล รัฐไทยต้องเลิกเล่นบทผู้ชม แล้วกระโดดลงเวที เป็นคนตั้งวาระและบังคับให้เพื่อนบ้านต้องคุยเรื่องนี้
ถ้ารัฐไทยไม่ลุกขึ้นมาเป็นหัวหอก ตั้งศูนย์กลาง-แก้กฎหมาย-ใช้เวทีภูมิภาคอย่างถึงพริกถึงขิง แม่น้ำกกก็จะยังเป็นแม่น้ำพิษ และคนชายแดนก็จะเป็นเหยื่อเงียบต่อไป
เมื่อรัฐกล้า ก็เปลี่ยนเกมได้ ไปดูเคสระดับโลกโน่น!
แม่น้ำไรน์เคยเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ในยุโรป แต่ช่วงทศวรรษ 1970–80 กลายเป็น “คลองน้ำเสีย” เพราะโรงงานอุตสาหกรรมในสวิตเซอร์แลนด์และเยอรมนีปล่อยสารเคมีลงแม่น้ำแบบไม่ปรานี เคสใหญ่เกิดขึ้นปี 1986 เมื่อโรงงานสารเคมี Sandoz ในสวิตเซอร์แลนด์เกิดเพลิงไหม้ ทำให้สารพิษและยาฆ่าแมลงปริมาณมหาศาลไหลลงแม่น้ำไรน์
ผลกระทบไม่ใช่แค่ในสวิตเซอร์แลนด์หรือเยอรมนี แต่ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ได้รับพิษไปเต็ม ๆ ปลาตายเป็นล้านตัว แหล่งน้ำดื่มปนเปื้อน คนต้องหยุดใช้น้ำจากแม่น้ำหลายสัปดาห์
นี่คือจุดเปลี่ยน เพราะแทนที่จะเงียบ รัฐที่เกี่ยวข้องกลับเปิดเกมรุกจนนำไปสู่การลงนาม Rhine Action Programme ซึ่งบังคับให้ทุกประเทศในลุ่มน้ำต้อง
แจ้งเหตุทันทีเมื่อเกิดการรั่วไหลของมลพิษ
จ่ายชดเชยความเสียหาย
แชร์ข้อมูลคุณภาพน้ำข้ามพรมแดน
ร่วมกันวางแผนแก้ไขและฟื้นฟูระบบนิเวศ
ผลลัพธ์ในเวลาเพียง 15 ปี คุณภาพน้ำในแม่น้ำไรน์ฟื้นกลับมาจนปลาซาลมอน ซึ่งเคยหายไปจากระบบนิเวศ กลับมาว่ายทวนขึ้นแม่น้ำอีกครั้ง
ดังนั้นแม่น้ำไรน์จึงบอกเราว่า ถ้ารัฐบาลไทยกล้าตั้งเงื่อนไข กล้าบังคับใช้กติกาข้ามพรมแดน เราก็มีสิทธิเปลี่ยนแม่น้ำกกจากคลองน้ำเสียให้กลับมามีชีวิตได้ แต่ถ้ายังเลือกเล่นบทผู้ชม เราก็จะได้แต่นั่งมองปลาตายลอยน้ำไปฝั่งลาว

สมัชชาองค์กรเอกชานด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติขอเสนอกลไกเชิงระบบให้รัฐบาลไทยทำทันที
1. ยกร่างกฎหมาย “สิ่งแวดล้อมข้ามแดน” (Transboundary Environmental Protection Act)
– นิยามมลพิษข้ามพรมแดน
– กำหนดกลไกรับมือ/การเจรจา
– อนุญาตให้ประชาชนรวมกลุ่มฟ้องรัฐหรือต่างประเทศผ่านตัวแทนรัฐ
2. จัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานมลพิษข้ามแดนระดับจังหวัด” (Border Eco-Justice Center)
– ศูนย์นี้ทำงานร่วมกับท้องถิ่น ชุมชน นักวิชาการ
– ทำหน้าที่เก็บข้อมูล แจกแจง และเจรจา
– ประสานกับผู้ตรวจการแผ่นดินและกระทรวงต่างประเทศ
3. ผลักดันไทยให้เป็นผู้เสนอกรอบ “ASEAN Transboundary Pollution Compact”
– ครอบคลุมทั้งมลพิษทางอากาศ มลพิษทางน้ำ มลพิษทางบก
– มีระบบ Early Warning, การตรวจสอบร่วม และบทลงโทษ
– เปิดให้ประชาชนส่งหลักฐานต่อเวทีกลางได้โดยตรง
4. ตั้ง “คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง” เรื่องแม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำสาย
– ตรวจสอบการปกปิดข้อมูลของรัฐ
– รวบรวมผลตรวจเลือดประชาชน, ดิน, ตะกอน, ปลา, พืช
– เปิดเผยรายงานทุก 1 เดือน และจัดเวทีรับฟังเสียงคนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง
“เราไม่ได้เรียกร้องแค่เรื่องปลาหรือแค่เรื่องแม่น้ำ
เรากำลังบอกว่า ชีวิตคนชายแดนมีค่าเท่ากับคนกรุงเทพฯ”
เมื่อรัฐกลัวเพื่อนบ้านมากกว่าประชาชนตัวเอง เราต้องถามกลับว่า รัฐนั้นยังเป็น “รัฐของประชาชน” อยู่หรือไม่?
เราจะไม่ยอมให้ชีวิตคนริมแม่น้ำถูกทำให้จางเหมือนน้ำที่ไหลผ่าน
นี่คือเสียงเรียกร้องจากชายแดน
ที่จะดังขึ้นทุกครั้งที่เด็กติดโลหะหนัก
ที่ปลาตายเกลื่อนแม่น้ำ
และที่รัฐยังเลือกที่จะ “เงียบ”
บทความโดย ตาล วรรณกูล กรรมการบริหาร สคส.