
ปัญหาสิ่งแวดล้อมในสังคมโลกและสังคมไทยเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบทุนนิยม ที่เน้นการใช้ทรัพยากรเพื่อการเติบโต นำไปสู่การผูกขาดผ่านการครอบครอง การสร้างกรรมสิทธิ์เหนือทรัพยากร และการแปรรูปกรรมสิทธิ์ให้กลายเป็นสินค้าเพื่อแสวงหาผลกำไร รัฐซึ่งเกิดขึ้นในวัฒนธรรมการเมืองแบบรวมศูนย์อำนาจ ได้มีบทบาทในการจัดการ ควบคุม และจัดสรรทรัพยากรเพื่อตอบสนองการเติบโตของกลุ่มทุน และควบคุมทรัพยากรเพื่อค้ำอำนาจทางการเมืองและความชอบธรรม
ปัญหาของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมมีความแตกต่างจากปัญหาอื่นที่กลไกรัฐจัดการได้ง่าย เนื่องจากมีผลกระทบในวงกว้าง ข้ามเขตแดนอำนาจปกครองและรัฐ และผสานกับปัญหาอื่นจนเกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ การจัดการที่ต้นตอเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ทำให้ปัญหายากที่จะยุติ ไม่สามารถหาผู้ก่อการและผู้เสียหายที่ตายตัวได้ ใช้เวลานานในการจัดการ และบางครั้งอาจไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาเป็นดังเดิมได้ หากไม่ใช่ภัยพิบัติฉับพลัน ก็มักเป็นปัญหาเรื้อรังที่บ่อนเซาะทำลายสิทธิการดำรงชีพของประชาชน อีกทั้งยังเป็นปัญหาที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวมนุษย์ แต่กระทบระบบนิเวศธรรมชาติจากการกระทำของมนุษย์เอง ก่อให้เกิดความย้อนแย้งว่าจะเลือกการพัฒนาหรือเลือกระบบนิเวศธรรมชาติ
แม้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจะร้ายแรง แต่ต้นเหตุและผลกระทบมีความซับซ้อน ผูกติดกับการใช้กลไกอำนาจรัฐ เช่น การควบคุมสั่งการ การกำหนดขอบเขตอำนาจ การเอาผิดผู้ก่อการ การคุ้มครองสิทธิและชดเชยผู้เสียหาย การใช้กลไกตลาดในระบบทุนนิยมยิ่งทำให้ปัญหาทวียิ่งขึ้น เพราะตัวทุนนิยมเองคือรากปัญหา กลไกทุน เช่น ระบบภาษี การชดเชยความเสียหาย การกำหนดสิทธิและแลกเปลี่ยนสิทธิในสิ่งแวดล้อมตามกลไกตลาด ล้วนแต่เน้นการจัดการเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่คุ้มค่าแก่การลงทุน หากปัญหาใดไม่สร้างผลเชิงบวกทางธุรกิจก็จะไม่ได้รับความสนใจ การจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยกลไกทุนนิยมยังแปรสภาพผู้ก่อมลพิษให้เป็นผู้จ่าย และพัฒนาไปถึงขั้นเป็นผู้ลงทุนในธุรกิจจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อทำกำไรจากปัญหาที่ตนเองอาจร่วมก่อ สิ่งนี้ทำให้กลไกตลาดกำลังสลายความรับผิดชอบของผู้สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เช่น ปัญหาคาร์บอนเครดิต ปัญหาปลาหมอคางดำ และปัญหาขยะพิษ
ปัญหาสิ่งแวดล้อมในไทยยังหยั่งรากลึกจากระบบการจัดการทรัพยากรที่มีข้อจำกัดเชิงโครงสร้างอย่างรุนแรง รัฐมักกำหนดเป้าหมายการจัดการทรัพยากรเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ละเลยความยั่งยืนทางนิเวศ ความเป็นธรรมทางสังคม หรือศักยภาพของเศรษฐกิจท้องถิ่น อำนาจในการบริหารจัดการทรัพยากรถูกผูกขาดไว้ในมือของรัฐผ่านระบบกฎหมายที่ไม่เปิดพื้นที่ให้สิทธิชุมชนหรือการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง นโยบายภาครัฐยังส่งเสริมการถือครองทรัพยากรในรูปแบบกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลภายใต้กลไกตลาดที่ไร้การกำกับจากกติกาทางสังคมหรือกฎหมายอย่างรัดกุม จึงยิ่งเปิดช่องให้ทุนเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างไม่มีข้อจำกัด
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจไทยยังขับเคลื่อนด้วยแรงกดดันให้ต้องเติบโตในระยะสั้น โดยไม่สนใจต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งมักถูกผลักภาระให้กับกลุ่มเปราะบาง คนจน หรือชุมชนที่ไม่มีอำนาจต่อรอง หากไม่มีการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง ก็จะมีเพียงชุมชนบางกลุ่มเท่านั้นที่สามารถลุกขึ้นมาทวนกระแสและสร้างบทบาทเชิงสร้างสรรค์ในการจัดการทรัพยากรได้ในระยะสั้น ๆ ความล้มเหลวเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความไม่รู้ ผลประโยชน์ หรือเจตจำนงของรัฐเพียงลำพัง แต่มีปัจจัยเชื่อมโยงกับกระบวนการทุนโลกาภิวัตน์ การแผ่อำนาจของทุนภูมิภาค ทุนชาติ ระบบราชการที่แข็งตัว รวมถึงความอ่อนแอของสังคมเอง ปัจจัยเหล่านี้เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก กลายเป็นห่วงโซ่แห่งความเสื่อม
ดังนั้น การหาทางออกหรือทางปฏิรูปฐานทรัพยากร ไม่สามารถทำได้เพียงแค่แก้ไขหรือพัฒนากฎหมายรายฉบับ หรือปรับโครงสร้างรัฐโดยตรง แต่ต้องสร้างห่วงโซ่แห่งการสร้างสรรค์ที่ดึงพลังทางสังคมต่าง ๆ มาหนุนช่วยกันผลักให้เกิดข้อเสนอนโยบายสาธารณะใหม่ ที่จะปฏิรูปฐานทรัพยากรและการผลิตได้อย่างจริงจัง พร้อมกับมียุทธศาสตร์และกลไกขับเคลื่อนนโยบายและการปฏิบัติการในรูปแบบใหม่ ๆ
ปัญหาในการคุ้มครองสิทธิชุมชนที่ผ่านมาคือ แม้สิทธิชุมชนจะถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่หน่วยงานรัฐยังขาดความเข้าใจในหลักการสิทธิชุมชนตามสภาวะที่เป็นจริง รัฐมองสิทธิเป็นแบบแผนที่ตายตัว และเมื่อโยงสิทธิชุมชนกับฐานทรัพยากรธรรมชาติที่ชุมชนพึ่งพิง หน่วยงานรัฐที่ผูกขาดอำนาจการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ มักไม่ยินยอมให้มีสิทธิชุมชนตามวิถีวัฒนธรรม หากจะมีได้ก็ต้องเป็นสิทธิที่รัฐกำหนดขอบเขตไว้อย่างจำกัดเท่านั้น ความขัดแย้งเรื่องหลักคิดสิทธิชุมชนกับสิทธิและหน้าที่ที่รัฐบังคับใช้จึงเป็นปัญหาแก้ไม่ตก แม้จะออกกฎหมายใหม่ ๆ มา แต่หากไม่เปลี่ยนแปลงหลักคิดให้เข้าใจสิทธิชุมชน ปัญหาการละเมิดสิทธิที่ชุมชนตระหนักแต่รัฐมองไม่เห็นก็ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย
สิทธิมนุษยชนไม่ใช่หลักการหรือบทบัญญัติที่ลงตัว เพราะสำนึกสิทธิของประชาชนจะเกิดขึ้นตามสถานการณ์ปัญหาใหม่ ๆ ที่เข้ามากระทบ ทำให้เราเห็นขบวนการเรียกร้องสิทธิในรูปแบบใหม่ ๆ เช่น สิทธิความหลากหลายทางเพศ สิทธิพลเมืองข้ามชาติ สิทธิในสิ่งมีชีวิต สิทธิในอากาศสะอาด สิทธิในสภาวะโลกร้อน สิทธิต่อธรรมชาติ สิทธิของธรรมชาติ สิทธิเหล่านี้ในระยะแรกเป็นเพียงข้อเรียกร้อง แต่หลายกรณีก็ได้พัฒนากลายเป็นวัฒนธรรมสิทธิในมิติใหม่ ๆ ที่รัฐและสังคมส่วนใหญ่ยังตามไม่ทัน แต่ทั้งหมดก็ยังอยู่บนพื้นฐานสิทธิในความเป็นมนุษย์ หรือการที่มนุษย์มีความปรารถนาที่จะดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรี
แม้ขบวนการปกป้องสิทธิประชาชนและสิทธิชุมชนด้านนิเวศและสิ่งแวดล้อมจะพยายามบุกเบิกแนวคิด พรมแดนความรู้สิทธิมนุษยชน ตรวจสอบการละเมิดสิทธิ สร้างกระบวนการเจรจาต่อรอง และผลักดันนโยบายคุ้มครองสิทธิ แต่ก็ประสบปัญหาหลายประการ ที่สำคัญได้แก่
- ระบบการบริหารบ้านเมืองและการกำหนดนโยบายของรัฐ ยังไม่ยึดหลักสิทธิมนุษยชนเป็นหลักการพื้นฐานที่รัฐและสังคมจะละเมิดไม่ได้ สิทธิมนุษยชนถูกเข้าใจอย่างคลาดเคลื่อนว่าเป็นกระบวนการขัดขวางถ่วงรั้งการใช้อำนาจรัฐเพื่อประโยชน์อื่น เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจ ความสงบเรียบร้อย หรือเกิดความสับสนระหว่างสิทธิประโยชน์ทั่วไปกับสิทธิมนุษยชน เมื่อปัญหาการละเมิดสิทธิกลายเป็นความรุนแรงเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรมที่แทรกซึมอยู่ทุกกลไกทางสังคม ปัญหาจึงไม่ได้รับการคลี่คลาย เรื่องร้องเรียนไหลเข้ามามากจนคณะกรรมการสิทธิฯ รับมือไม่ไหว ทำให้การทำงานมีลักษณะตั้งรับ ไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงระบบได้
- การจัดความสัมพันธ์ที่เป็นอิสระและเหมาะสมกับภาครัฐและสังคม ทำได้ยาก เพราะสภาพแวดล้อมเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรมการเมืองของรัฐ ทำให้กลไกจัดการสิ่งแวดล้อมของสาธารณะต้องเผชิญแรงเสียดทาน ศักยภาพในการปกป้องคุ้มครองสิทธิของประชาชนลดน้อยลง
- บทบาทการทำหน้าที่ตรวจสอบการละเมิดสิทธิกับการพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบาย ด้วยสถานการณ์ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุกอย่างรวดเร็ว กระทบประชาชนในวงกว้าง กลไกต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคประชาสังคมต้องมุ่งแก้ปัญหาเร่งด่วน จึงขาดความพร้อมในการสร้างบทบาทเชิงรุกเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางนโยบายและวัฒนธรรมของรัฐและสังคม
โดยสรุปแล้ว ด้วยปัญหาเชิงโครงสร้างความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม และสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่ประชาชนเผชิญปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม สถานภาพ สิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมของสังคมไทยจึงมีความเปราะบางอ่อนแอมาก มีผู้คนทุกข์ยากที่ต้องการการดูแลปกป้อง คุ้มครอง และส่งเสริมความเข้มแข็งให้เผชิญสถานการณ์ที่รุนแรง แต่ระบบกฎหมาย นโยบายของรัฐ และกลไกราชการต่าง ๆ ยังขาดความพร้อม ทั้งในเชิงเจตจำนง วิธีคิด ความเข้าใจ ความมุ่งมั่นในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน สถานการณ์เช่นนี้ กลไกภาคประชาสังคมจะต้องมีความเข้มแข็งและมีบทบาทเชิงรุกในการปกป้องคุ้มครองสิทธิของประชาชน ด้วยการยกระดับองค์กรทั้งในเชิงการสร้างความรู้ ความร่วมมือกับภาคี การสื่อสารสังคม และการมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ ๆ