บันทึกการประชุมสรุปบทเรียนเครือข่ายองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และภาคีความร่วมมือ “หยุดทำลายโลกใบนี้ ก้าวสู่โลกที่ยั่งยืน”
ระหว่างวันที่ ๑ – ๓ มีนาคม ๒๕๖๕
ณ โรงแรม เอเชีย แอร์พอร์ต จังหวัดปทุมธานี
โดยจัดการประชุมแบบ Hybrid Meeting โดยจัด On site ณ ห้อง EVERGREEN และจัด Online
ผ่านทาง Facebook กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมและแอพพลิเคชั่นซูม (Zoom Cloud Meeting)
—————-
วันที่ ๒ มีนาคม ๖๕
- กล่าวต้อนรับ ชี้แจงกำหนดการ โดย นายภาคภูมิ วิธานติรวัฒน์ ประธานสมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ
ยินดีต้อนรับผู้เข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้ หลังจากครั้งล่าสุดที่เรามีการสัมมนาเมื่อครั้งที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งครั้งนั้นมีสมาชิกสมัชชาฯเข้าร่วมจำนวนมากเนื่องจากยังไม่มีสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ต่อมาเมื่อเกิดสถานการณ์ฯ ทำให้ใน๒ ปีที่ผ่านมาไม่สามารถจัดได้และการประชุมในครั้งนี้ ก็มีความกังวลว่าจะสามารถจัดขึ้นได้ได้หรือไม่เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) กลับมาอีกครั้ง
การพบกันของสมาชิกสมัชชาฯ เป็นการประมวลสถานการณ์การขับเคลื่อนสิ่งแวดล้อมที่ผ่านมา ตลอดจนข้อเสนอ ทั้งที่เป็นข้อเสนอใหม่และข้อเสนอเดิมที่ยังไม่มีการปรับปรุงแก้ไข ภายใต้ชื่อการสัมมนาครั้งนี้ ว่า “หยุดทำลายโลกใบนี้ ก้าวสู่โลกที่ยั่งยืน” เพื่อให้เราตระหนักและหยุดการทำลายโลกใบนี้ทันที
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมัชชาองค์กรเอกชนฯ กล่าวว่าสมัชชาองค์กรเอกชนด้านเริ่มต้นตั้งแต่มีพ.ร.บ.ส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ.๒๕๓๕ เราพยายามรวมตัวกันเพื่อให้เกิดความเหนียวแน่นในการประสานความร่วมมือกันขององค์กรที่จดทะเบียนกับกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในสมัยนั้นมีผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนมาก ที่รวมตัวกันจัดตั้งเป็นสมัชชาฯ ประมาณปี ๓๖ – ๓๗ ทำเป็นข้อบังคับและขับเคลื่อนตลอดมา โดยมีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมเป็นพี่เลี้ยง ทำงานประสานงาน สนับสนุนให้มีองค์กรเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกสมัชชาฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรพัฒนาเอกชนทั้งหมดในประเทศ อย่างไรก็ตามอยากให้มีองค์กรต่างๆๆเข้ามาร่วมเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีประเด็นปัญหาต่างๆมากมายที่คนในพื้นที่ต้องเผชิญและผจญอยู่ ทั้งจากอำนาจรัฐ และอื่นๆ ส่งผลให้เกิดความเดือดร้อน ดังนั้นการมีองค์กรเอ็นจีโอจะช่วยในการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้น
การประชุมสมัชชาประจำปีเป็นการรวมกลุ่มองค์กรสมาชิก ให้มานำเสนอปัญหาและความเดือดร้อนและการแก้ปัญหา ทั้ง ๔ ภาค ทั้งป่าไม้ ทะเล ที่ดินและอื่นๆ มาแลกเปลี่ยนถกคิดกัน จะช่วยให้เกิดการแก้ปัญหาที่ดีมากขึ้น และอีกปัญหาคือการสนับสนุนด้านเงินทุนมีน้อยมากเนื่องจากเงินกองทุนจากต่างประเทศหันไปสนับสนุนประเทศที่ยากจนกว่า มากขึ้น จึงเป็นทั้งอุปสรรคและต้องมองให้ครบทุกมิติ การหยุดทำลายโลกของเรา นั้น แบ่งแออกเป็นประเด็นต่างๆ เป็นห้องย่อย เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนกันในช่วงระยะเวลาทั้ง ภาคเช้าและภาคบ่ายเพื่อให้เกิดข้อเสนอเชิงนโยบาย เมื่อปลายปีที่แล้ว มีการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันโอชาไปร่วมด้วย และในที่ประชุม มีคำกล่าวซ้ำๆว่า หยุดทำลายโลกใบนี้ และก้าวไปสู่โลกที่ยั่งยืน ซึ่งหวังว่าเราจะใช้เวทีนี้ในการคิดและร่วมกันขับเคลื่อนแก้ปัญหาด้วยความมุ่งมั่น เพื่อรักษาโลกใบนี้ไว้
๑.เวทีสัมมนาเปิดมุมมอง โดย คนสามัญผู้ขับเคลื่อน สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน สู่สังคมที่เป็นธรรม การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ดำเนินรายการโดย นายธนู แนบเนียร กรรมการบริหารสมัชชาองค์กรเอกชนฯ
วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่สมาชิกองค์กรสมัชชาฯ ได้มีโอกาสมาร่วมแลกเปลี่ยนกันอย่างน้อยปีละครั้ง ภายใต้ “หยุดทำลายโลกใบนี้ ก้าวสู่โลกที่ยั่งยืน” ผ่านเวทีสัมมนาเปิดมุมมอง โดย คนสามัญผู้ขับเคลื่อน สู่การพัฒนา ที่ยั่งยืน สู่สังคมที่เป็นธรรม การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
๑) นายบุญยืน วงศ์สงวน
แรงบันดาลใจของนักพัฒนา เกิดจากการเป็นคนชนบทที่ผูกพันกับวิถีธรรมชาติ และเริ่มจากเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ที่เป็นแรงบันดาลใจในช่วงมัธยม เรื่องประชาธิปไตย และส่วนตัวชอบฟังเพลง เพื่อชีวิต สร้างแรงบันดาลใจ คล้ายคาราวาน และตุลา ๒๕๑๙ กิจกรรมต่างๆ เงียบหายไป ผูกพันกับชีวิตมหาลัยและเข้าไปเรียนรู้วิถีชนบทอีสาน ซึ่งเห็นความไม่เป็นธรรมในสังคม ตอนนั้นยังไม่มีคำว่า ความเหลื่อมล้ำ และเมื่ออกจากรั้วมหาลัย ก็ไม่อยากเข้าสู่ระบบทุน กลไกรัฐ จึงเข้าเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) และเป็นนักพัฒนาองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานกับชาวบ้านในชนบท
เลือกพื้นที่ทำงานพัฒนาในดินแดน เหนือ ล่าง กลาง
- ชาวนา ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง
- แร่เหมืองทองที่พิจิตร ที่ต่อสู้กันมายาวนาน และสุดท้ายจะกลับมาอีกครั้ง
- สิ่งที่ต่างกันคือการจัดการเชิงพื้นที่ มีความสัมพันธ์ กันเยอะมาก ต่างจากปัจจุบันที่ไม่ค่อยมีการบูรณาการ
กระบวนการเหล่านี้เป็นต้นทุนชุมชน และมีคนรุ่นใหม่มาสานต่อ และสิ่งที่เชื่อมโยงกันได้คือเรื่องสิทธิและความไม่เป็นธรรมในสังคม และหันมาทำเรื่องโลกร้อน ทำอย่างไร ให้เกิดการจัดการโลกร้อนที่เป็นธรรม และทำอย่างไรให้เสียงคนในพื้นที่ได้สะท้อนเรื่องการจัดการทรัพยากรไม่เป็นธรรมส่งถึงคนกำหนดนโยบาย
สรุป เรามีภาพฝันให้เรื่องที่ดินและทรัพยากรเป็นสิ่งที่สามารสร้างความรับรู้ว่าเป็นทรัพย์สินร่วมของคนทั้งประเทศ เพื่อร่วมกันปกป้องและสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดการปกป้องทรัพยากรให้ดียิ่งขึ้น เรื่องเศรษฐกิจ การเมือง เป็นเรื่องเดียวกัน
๒) นายอะเหร็น พระคง ชมรมชาวประมงพื้นบ้าน จังหวัดตรัง
แม้จะอายุมากแล้ว แต่ก็รักทะเล เพราะวิถีชาวประมงพื้นบ้าน ต้องพึ่งพาฐานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และเห็นว่าเราควรทำอะไรดีดีให้กับลูกหลาน ไม่เห็นด้วยกับการพัฒนาที่ไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ตลอดจนนโยบายต่างๆ เช่นการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งโดยใช้โครงสร้างแข็ง การขุดลอกร่องน้ำและนำทรายทิ้งทะเล ซึ่งล้วนกระทบกับทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรโดยชุมชน ที่ผ่านมาแม้วิกฤติโควิด-๑๙ ระบาด กลับพบว่าเรายังมีฐานทรัพยากรให้พึ่งพาอาศัย จึงขอร้องให้หยุดการพัฒนาที่ทำลายฐานทรัพยากร
จังหวัดตรัง ทำเรื่องดูแลรักษาทรัพยากรโดยเฉพาะพะยูน ๐eo;o๑๘๐ ตัว ซึ่งมีเยอะเยอะที่สุดในพื้นที่จ.ตรัง เราร่วมกันแก้ปัญหาความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศชายฝั่ง ห้ามเครื่องมือประมงที่เป็นอันตรายต่อพะยูน นอกจากนั้น เราทำงานเรื่องการจัดการขยะในทะเล อย่างเต็มที่ ร่วมกันทุกภาคส่วน ต้องเริ่มมาจากต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ เราต้องช่วยกันเพื่อรักษาโลกของเรา
๓) นางมะลิจิตร เอกตาแสง กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำลำเซบาย
เป็นคนธรรมดา สามัญชน ที่ยังยืนหยัดในสิทธิในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ลูกหลาน เพื่อให้เกิดความยั่งยืน เราอยู่ในกลุ่มลำน้ำเซบายมีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งในจังหวัดยโสธร ซึ่งไม่เกี่ยวกับจังหวัดยโสธรเลย แต่มีพื้นที่ใกล้โรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวล มีการรวมตัวมายาวนาน เนื่องจากต้องการปกป้องฐานทรัพยากรและวิถีชีวิตเพื่อให้สามารถดำรงฐานทรัพยากรไว้อย่างยั่งยืน
อยากมีทรัพยากรไว้ให้กับรุ่นหลาน เน้น การสร้างสำนึกร่วมของชุมชนในการจัดการทรัพยากรผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลของคนในพื้นที่ เพื่อร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาผลกระทบจากโรงงานน้ำตาล และโรงไฟฟ้าชีวมวล เรามีที่ทำกิน มีสมุนไพรในป่า เราสามารถต่อสู้กับปัญหาต่างๆ แม้กระทั่งโรคโควิด-๑๙ ที่เข้ามาจากภายนอก หากมีฐานทรัพยากรที่มั่นคง เราก็สามรารถฝ่าวิกฤติได้
ภาคอีสานที่มีโรงงานได้รับผลกระทบจากกลิ่น เสียง แม้ว่าเราจะช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม และขอให้ภาครัฐสร้างพื้นที่ให้ปลอดภัยจากมลภาวะ ซึ่งยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ทั้งเสียง ฝุ่น น้ำเสีย ซึ่งทางกลุ่มเรายังยืนหยัดคัดค้าน เฝ้าระวง ฟื้นฟูป่าและอนุรักษ์ทรัพยากร และอยากให้หน่วยงานทำงานตรวจวัดคุณภาพเสียง น้ำ อย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ทำได้คือช่วยกันพยายามศึกษา ให้ความรู้กับลูกหลาน แม้วิกฤติโควิด เราอยู่ได้เพราะมีทรัพยากร เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันปกป้อง
๔) คุณพชร คำชำนาญ : มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนภาคเหนือ
ทำงานกับภาคประชาชนและเติบโตมาจากพื้นที่ชนบท ท่ามกลางความขัดแย้ง ความคิดเห็นที่แตกต่างทางการเมือง และสมัยเรียนเป็นนักข่าวสนใจประเด็นสิทธิมนุษยชน ร่วมม็อบเทพา และอดอาหาร ได้ทำข่าว และสนใจในเรื่องสิทธิส่วนบุคคล เห็นคนที่ต่อสู้เพื่อปกป้องวิถีชุมชน ก็มีความสนใจ
ได้คุยกับพี่น้องในการแก้ปัญหาอพยพคนออกจากป่า หลังปี ๓๕ โดยใช้กองกำลังทหาร เข้าไปในพื้นที่ป่า และได้ฟังเรื่องราวต่างๆ รวมทั้งเครือข่ายสมัชชาฯ รวมทั้งได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ได้เห็นว่าพื้นที่ป่าไม่แตกต่างกันกับปี ๓๗ ซึ่งสะท้อนให้เห็นการยืนหยัด
สรุป : พวกเราเติบโตมาในสังคมที่ถูกกดขี่ เราเป็นทั้ง เอ็นจีโอและนักเคลื่อนไหว ซึ่งตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องจากนโยบาย และแนวทางการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน และการจัดสรรทรัพยากรเพื่อตอบโจทย์ช่วยเหลือคนจนทั้งประเทศหรือนายทุน ขอคารวะหัวใจคนที่ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรามีความก้าวหน้าในการจัดการทรัพยากรมากกว่าภาครัฐอยู่แล้วเนื่องจากเป็นนวัตกรรมที่ชาวบ้านสร้างขึ้นและต่อสู่กับนโยบายที่กำหนดมาจากข้างบนแม้จะสะท้อนปัญหาแต่ไม่ได้รับการแก้ไข
๒.การแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อประเมินสถานการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมการจัดทำข้อเสนอเพื่อการพัฒนากลไกการขับเคลื่อนงานระดับภาคีเครือข่าย และข้อเสนอเชิงนโยบายกฎหมาย ที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๓ ประเด็น[1]
ห้องย่อย : ๑ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สถานการณ์และข้อเสนอภาคประชาชนเพื่อก้าวสู่โลกที่ยั่งยืน
ดำเนินรายการโดย นายสาคร สงมา กรรมการบริหารสมัชชาองค์กรเอกชนฯ
สถานการณ์ ข้อตกลงความเป็นไปได้ที่อุณหภูมิของโลกจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน ๑.๕ องศาเชลเชียส
โดย นางสาววนัน เพิ่มพิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์กร Climate Watch Thailand
เราติดตามเรื่องการเจรจาตั้งแต่ คอร์ป ๒๕ ถึง ๒๖ สิ่งที่เห็นคือเราจะทำให้อุณหภูมิโลกไม่เพิ่มขึ้นเกิน ๑.๕ องศา โดยต้องทำทันที
- การเจรจาการลดการปล่อย
- การปรับตัว
- การชดเชยความสูญเสียและความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
ดังนั้น ๑.๕ องศา เชื่อมโยงกับ ๓ เรื่องนี้ และพูดถึงเรื่องการเงินและเทคโนโลยี ทำอย่างไรจะหาทางนำก๊าซคาร์บอนไปปล่อยที่อื่น
เรื่องการลดการปล่อยคาร์บอน โลกเราจะลดการปล่อยได้ไหม เพื่อไม่ให้อุณหภูมิเพิ่ม ๑.๕ องศา และเป็นไปได้ยากมาก เนื่องจากต้องไม่มีการปล่อย เผาเชื้อเพลิง ฟอสซิล การประหยัดพลังงาน ใช้จักยานแทนรถยนต์ และต้องเชื่อมกันทุกประเทศ ต้องทำกันทั้งโลก และต้องร่วมกันลดการปล่อยอย่างยิ่งยวด จึงเป็นที่มาของการเจรจา หารือร่วมกัน
อนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ การลดการปล่อย ต้องให้คนที่ปล่อยลดการปล่อยก่อน และให้เงินสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา เพิ่มความสามารถของประเทศกำลังพัฒนาทุกประเทศที่จะปรับตัว ขึ้นอยู่กับประเทศที่พัฒนาแล้วจะสนับสนุนการเงินและเทคโนโลยีให้ประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ต้องทำ
แต่ประเทศพัฒนาแล้วเจือจางการแก้ปัญหา
๑) ความรับผิดชอบร่วมกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือคำว่าความรับผิดชอบของประเทศพัฒนาแล้วหายไป และมีคำว่า Net Zero คือปล่อยเท่าไหร่ให้ดูดซับเท่านั้น ซึ่งไม่ได้ลดการปล่อยแต่หาที่ดูดซับคาร์บอนแทน
๒) จะเห็นว่าภาพเบลอมาก ที่จะให้ประเทศพัฒนาจะช่วยชดใช้ค่าเสียหายแก่ประเทศกำลังพัฒนา
๓) สิ่งที่เราต้องดูคือ Net Zero คืออะไร เป็นการโยกย้าย ด้วยการปลูกป่า โดยไม่ได้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
๔) เทคโนโลยี ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างวิศวะขนาดใหญ่ ที่เล่นแร่แปรธาตุ ทำให้อุณหภูมิของโลกลดลง จากเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิด ที่พบว่าสามารถดูดซับคาร์บอนในอากาศได้ดี นักการเมืองและนักวิจัย คิดว่าต้องมีการระเบิดมากขึ้น อีกเหตุการณ์คือการเพิ่มสารเคมีให้แพลงก์ตอนเติบโตและดูดซับคาร์บอนโดยไม่คำนึงถึงผลกระทลอื่นๆ ซึ่งเป็นการศึกษาของบรรษัทข้ามชาติ นักวิจัย นักการเมือง ที่อยากให้มีการใช้พลังงานฟอสซิลอยู่ และจะเอาก๊าซคาร์บอนมาเก็บไว้ในลุ่มน้ำมันเพื่อรอให้กลายเป็นน้ำมันในอนาคต เพราะฉะนั้นต้องติดตามเรื่องนี้
๕) การปรับตัว เชื่อมโยงกับความสูญเสียและความเสียหาย
การปรับตัว เป็นการปรับกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เชื่อมโยงกับการลดการปล่อย หากลดการปล่อยช้า ไม่เข้มข้น ทำให้เกิดการปรับตัวช้า และทำให้เกิดความสูญเสียและความเสียหาย
สิ่งที่มองเชิงนโยบาย เราต้องเตรียมความพร้อมเรื่องความสูญเสียและความเสียหายด้วย เม็ดเงินร้อยละ ๗๐ ให้เรื่องลดการปล่อยแต่ให้เรื่องการปรับตัวน้อยมากและควรเป็นเงินที่ให้เปล่า เพื่อให้กับประเทศกำลังพัฒนา และเป็นเงินที่ส่งเสริมให้เกิดการลดการปล่อยและการปรับตัวรวมทั้งเรื่องอื่นที่ช่วยเสริมความต้านทานในการเปลี่ยนแปลงของโลก
ตัวอย่างในประเทศไทย มีแล้ว ประเทศที่พัฒนาแล้ว ยังไม่ได้สนับสนุนงบประมาณแต่สนับสนุนให้กับการลงทุนเรื่องฟอสซิล ๑.๕ ล้านล้าน และไม่ให้ประเทศกำลังพัฒนาในการปรับตัวแม้จะมีมูลค่าแค่๑.๕ แสนล้านเหรียญ
แผนประเทศไทยลดการปล่อยเงิน ๒๐ เปอร์เซ็นต์ และจะเพิ่มขึ้นอีก ๕ เปอร์เซ็นต์ และเราต้องผลักดันต่อไป ในการแก้ปัญหาโลกร้อนผ่านกองทุนนี้
นายสาคร สงมา ผู้ดำเนินรายการ สรุป สิ่งสำคัญ ๓ ประเด็น คือ
- การลดการปล่อย
- การปรับตัว
- การลดความสูญเสียและความเสียหาย
คนที่ขอและเข้าถึงคือUNDP และCEPF ที่ทำในประเทศไทย
· สถานการณ์ คำมั่นของรัฐบาลไทยและข้อเสนอภาคประชาชน
โดย ดร.กฤษฎา บุญชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
ความเข้าใจพื้นฐาน เกี่ยวกับโลกร้อน ซึ่งทำให้เรากลับไปสู่แนวคิดพื้นที่ฐาน ที่ทุกศาสนาคิดถึงวันสิ้นโลก และเราคิดว่าเรามองแค่ป่าไม้ลดลงแต่ไม่เคยคิดถึงหายนะของโลก และขณะเดียวกันนักวิทยาศาสตร์ ก็พยายามคิดเช่นกัน ขณะเดียวกันราอยู่ในยุคทุนนิยม ที่เราสามารถทำอะไรก็ได้ และกำลังบอกว่าเราจะทุนนิยมกำลังเผชิญความท้าทายปัญหามากกว่าปัญหาอื่นๆ ที่ไม่มีความมั่นใจใดๆ ที่อาจส่งผลให้เป็นจุดจบของทุนนิยม
ฉากทัศน์แห่งหายนะโลก
- ทุกศาสนา จะมีวัฒนธรรมความเชื่อเกี่ยวกับจุดเริ่มต้น เสื่อมโทรม และสิ้นสุดของโลก
- วิทยาศาสตร์ ทำหน้าที่ทั้งเปิดพรมแดนอนาคตโลกที่ไม่สิ้นสุด (รอการบุกเบิกค้นหา) และเตือนหายนะจากการสูญพันธุ์สิ่งมีชีวิต
- ระบบทุนนิยม ได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ไปสู่มนุษย์ผู้ครองโลกและทรัพยากร พลังแห่งการผลิต-บริโภค ตลาด เทคโนโลยี จะทำให้อนาคตขยายตัว เป็น “จุดจบของประวัติศาสตร์” (The End of History) ในทางปรัชญาการเมืองและสังคม
- แต่วิกฤติสิ่งแวดล้อม เริ่มตั้งแต่จุดเริ่มต้นแนวคิด “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ในทศวรรษ ๑๙๘๐ ต่อยอดด้วยแนวคิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำลังทำให้โลกหวนคิดว่า หรือนี่คือ The End of Capitalism?
จินตภาพใหม่ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- ภูมิอากาศเป็นเรื่องเฉพาะถิ่น เฉพาะที่ มีทั้งความปกติและความแปรปรวน
- ภูมิอากาศคือภาวการณ์ที่เชื่อม ธรรมชาติ และสิ่งเหนือธรรมชาติในหลายวัฒนธรรม
- ภูมิอากาศคือแบบแผนชีวิตที่เราและธรรมชาติมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
- ภูมิอากาศถูกใช้เป็นปัจจัยกำหนดลำดับชั้นการพัฒนาของมนุษย์ หายนะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนำมาสู่แนวคิด Anthropocence และCapitalocene
จินตภาพใหม่ที่เกิดขึ้นจาก Climate Change
- ภูมิอากาศเป็นสภาวะร่วมของโลก
- ภูมิอากาศเป็นเรื่องที่ศึกษาได้ วัดได้ คาดการณ์ได้ และจัดการได้?
- ภูมิอากาศ เป็นส่วนสำคัญของภูมิรัฐศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงอารยธรรม เศรษฐกิจ สังคมของโลก (ทั้งการครอบงำ สร้างอิทธิพล การปรับตัว หรืออีกนัยหนึ่งคือโลกาภิวัตน์
- ภูมิอากาศ กลายเป็นทรัพย์สิน สินค้า การสั่งสมทุน
- ภูมิอากาศถูกคาดหวังเป็นจุดเปลี่ยนสู่ “วิถีใหม่” ของการจัดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ สังคม ธรรมชาติ
โลกทัศน์คาร์บอนนิยม
- การรับรู้ การเข้าใจปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถูกอธิบายผ่าน “Carbon”
- จากสสารธรรมชาติ กลายเป็นหน่วยของผลกระทบ เป็นปัจจัย เป็นทรัพย์สิน และเป็นกำไร
- โลกทัศน์คาร์บอน ได้สลายมุมองสาเหตุเชิงโครงสร้างของปัญหาที่ทำลายธรรมชาติ ตัดขาดจากมิติเชิงสังคม และก่อเกิดทุนนิยมคาร์บอน\
- ประชาชนที่เข้าใจ ประสบปัญหา และมีบทบาทต่อการปรับตัว กอบกู้ผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ถูกนับ ในฐานะผู้รู้ เข้าใจปัญหา และมีบทบาท
IPPC เสนอกรอบวิเคราะห์
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สัมพันธ์กับสังคมมนุษย์ ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ
คำเตือนแล้วเตือนเล่า
- โลกร้อนขึ้นจาก ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม (๑๘๕๐) ขณะนี้สูงขึ้นมา ๑.๑ องศาแล้ว
- การสูงขึ้นเกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วง ๑๙๘๐ เป็นต้นมา (แม้จะมีอนุสัญญาโลกร้อน ๑๙๙๕) พิธีสารโตเกียว ข้อตกลงปารีส
- IPCC เตือนหากอุณหภูมิเพิ่มไปจนถึง ๑.๕ องศา โลกจะรวน ยากหาสมดุล
- สาเหตุมาจาก มนุษย์ หรือให้ชัดคือกลุ่มทุนอุตสาหกรรม พลังงาน ขนส่ง เกษตรฯลฯ
ข้อถกเถียงสำคัญ สาเหตุโลกร้อน
- โลกร้อน สาเหตุจากไหน หน่วยงานวิจัยที่สนับสนุนโดยกลุ่มทุนพลังงานบอกว่า โลกร้อนมาจากธรรมชาติ ๙๖.๘% IPCC ยืนยันว่ามนุษย์ทำ
- มนุษย์เท่ากัน หรือมนุษย์บางกลุ่ม Oxfam เผยว่า กลุ่มประชากรที่มีรายได้สูง ซึ่งคิดเป็น ๑๐ เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก มีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ประชากรที่มีรายได้ต่ำ ซึ่งคิดเป็น ๕๐ เปอร์เซ็นต์ มีส่วนเพียง ๑๐ เปอร์เซ็นต์
- ไม่ว่ากลุ่มทุน หรือประชาชน แต่ส่งที่กำกับอีกทีคือระบบทุนนิยม บนฐานพลังงานฟอสซิล
โลกทัศน์คาร์บอนนิยม
- การรับรู้ การเข้าใจปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถูกอธิบายผ่าน “Carbon”
- จากสสารธรรมชาติ กลายเป็นหน่วยของผลกระทบ เป็นปัจจัย เป็นทรัพย์สิน และเป็นกำไร
- โลกทัศน์คาร์บอน ได้สลายมุมองสาเหตุเชิงโครงสร้างของปัญหาที่ทำลายธรรมชาติ ตัดขาดจากมิติเชิงสังคม
- ประชาชนที่เข้าใจ ประสบปัญหา และมีบทบาทต่อการปรับตัว กอบกู้ผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ถูกนับ ในฐานะผู้รู้ เข้าใจปัญหา และมีบทบาท
คาร์บอนเป็นศูนย์โดยสุทธิ
- พาให้เราเข้าใจว่า จะลดการปล่อยคาร์บอนให้หมดไป แต่กลับคือ กระบวนการยักย้ายถ่าย แลกเปลี่ยนคาร์บอนในระบบตลาด จนหักลบเป็นศูนย์
- ผลกระทบที่เกิดที่หนึ่ง (ถูกทำลายทรัพยากร ได้รับผลกระทบจาก CC) สามารถแลกได้กับการมีพื้นที่คาร์บอนต่ำ หรือดูดซับคาร์บอนได้หรือไม่
ผลกระทบจากการถูกบีบให้คาร์บอนเป็นศูนย์
- ประเทศที่พึ่งพาเศรษฐกิจพลังงานฟอสซิล ต่างไม่อยากจะปรับลดการปล่อยก๊าซ กำลังฉายภาพให้เห็นว่า หากดำเนินมาตรการเข้มงวดจะเกิดผลกระทบรุนแรง เช่น ล็อคดาวน์โลก/ประเทศทุก ๒ ปี หรือกระทบต่อเศรษฐกิจ การจ้างงาน ฯลฯ
- ขณะที่พลังงานหมุนเวียนซึ่งเป็นกระแสคู่แข่งพลังงานฟอสซิล กำลังชี้ให้เห็นว่า ทิศทางสังคมพลังงานสะอาด ปราศจากคาร์บอน กำลังทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิต
ความเป็นธรรมใน CC
- CC เปิดพื้นที่ให้เห็นความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรมนานาประการดังนี้
- ความเป็นธรรมในการเข้าถึง กำหนด กฎ กติกา การจัดการ เรื่อง CC ผ่านวาทกรรม คาร์บอน กลายเป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญ และการสื่อสารจะเน้นโลกทัศน์ตะวันตก เราจะให้เห็นคนในโลกตะวันตกตื่นตัวมาก (แม้จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าคนในซีกโลกใต้) และมีบทบาทในการเข้าถึง กำหนดกฎกติกาต่างๆ และเป็นที่มาที่ COP ถูกขับเคลื่อนด้วยแนวคิดเสรีนิยมทางการตลาด
- ความเป็นธรรมในทางสังคม ประชาชนกลุ่มต่างๆ ได้รับผลกระทบต่างกัน คนชายขอบ ผู้หญิง กลุ่มเปราะบาง ชนเผ่า และชุมชนที่อยู่กับนิเวศ อ่อนไหว ได้รับผลกระทบรุนแรงกว่า แต่มีเสียงดังน้อยกว่า หรือข้อถกเถียงว่าใครปล่อยก๊าซมากที่สุด คิดจากหน่วยประเทศหรือเฉลี่ยต่อหัว คิดจากปัจจุบัน หรือนับจากประวัติศาสตร์ถึงปัจจุบัน
- ความเป็นธรรมในเชิงพื้นที่ เช่น พื้นที่ชุมชนอาจถูกยึดไปปลูกป่าสร้างคาร์บอนเครดิต ให้กับประเทศ ทุน ที่กำลังทำลายทรัพยากร หรือผู้คนเปราะบางถูกเรียกร้องให้ปรับตัวการผลิต การใช้ทรัพยากร แต่ภาคส่วนอื่นไม่ปรับตัว
- ความเป็นธรรมระหว่างรุ่น คนรุ่นใหม่ Genx และ y คนชั้นกลางและสูงในเมือง อุตสาหกรรม สร้างปัญหาโลกร้อน สร้างภาระให้คนรุ่นต่อไป
- ความเป็นธรรมของระบบนิเวศ สิทธิทางนิเวศกำลังถูกแลกด้วยทรัพย์ของคาร์บอน
ความช่วยเหลือจากประเทศพัฒนาสู่ประเทศกำลังพัฒนา หรือพัฒนาน้อย
- เป้าหมายตามข้อตกลงปารีส กำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้ว ทุ่มงบประมาณสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาให้ปรับตัวถึง ๑๐๐ billion แต่ปัจจุบันยังไปไม่ถึง (ราว ๘๐ กว่า Billion)
- แต่งบฯ หายไปไหน กองทุน GCF ซึ่งเป็นกองทุนลงขันระดับโลก (ช่วยด้านผลการปล่อยก๊าซร้อยละ ๕๐ และปรับตัวร้อยละ ๕๐) ปัจจุบันยังเข้าถึงยากมาก มีเงื่อนไขแลกเปลี่ยนผลประโยชน์คาร์บอน และให้หน่วยงานรัฐเป็นหลัก
- REDD+ มีเป้าหมายฟื้นฟูป่า สนับสนุนชุมชนฟื้นป่าในประเทศกำลังพัฒนา แต่พ่วงด้วยคาร์บอนเครดิต และสิทธิในการเข้าถึง จัดการทรัพยากร ทำกินในพื้นที่ป่าที่กลายเป็นทรัพย์สินคาร์บอนไปแล้ว และยังไม่ชัดเจนเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เป็นธรรม
COP 26 จะตกลงเรื่องอะไรที่สำคัญ
- การกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซ IPCC เสนอ ว่าต้องลดลงครึ่งหนึ่งในปี ๒๐๓๐ และลดให้หมดในปี ๒๐๕๐ ซึ่งแผน NDC ของทุกประเทศยังไม่ถึง ไม่ทะเยอะยานพอ
- หาข้อตกลงระบบตลาดคาร์บอนให้ชัดเจน ให้เกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยน (ค้ากำไร, ฟอกเขียว) ในระดับโลกไปถึงสากล คาร์บอนจะกลายเป็นเงินตราใหม่
- การช่วยเหลือประเทศพัฒนาแล้วต่อประเทศกำลังพัฒนา ที่ยังไม่ถึงเป้าหมาย และมีเงื่อนไข
- นโยบาย มาตรการภาษี เช่น CBAM ของยุโรป กับระบบการค้าเสรี
- ขณะที่เลือก Loss and Damage, เพศสภาพ, ชนพื้นเมืองและชุมชน ฯลฯ มีฐานะเป็นเวทีวิชาการ
เป้าหมายการลดก๊าซของไทย (ฉบับใหม่)
- กลางศตวรรษ (๒๐๕๐ เป็นต้นไป) ยุทธศาสตร์การลดก๊าซเรือนกระจกระยะยาวของไทยได้ถูกพัฒนาผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม ผ่านคณะทำงานที่หลากหลายจากทุกภาคส่วนและผู้มีส่วนได้เสียก่อนที่จะได้รับการอนุมัติจาก ครม. แผนยุทธศาสตร์ของไทยกำหนดเป้าหมายและมาตรการที่ชัดเจนเพื่อที่จะปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์โดยสุทธิ
- ประการแรก ไทยมีเป้าหมายที่จะถึงการปล่อยก๊าซสูงสุดในปี ๒๐๓๐ (พ.ศ.๒๕๗๓) ประมาณ ๓๗๐ เมกกะตันคาร์บอนเทียบเท่า
- ประการที่สอง เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิของไทยจะอยู่ที่ ๒๐๐ เมกกะตันคาร์บอนฯ ในปี ๒๐๕๐ (พ.ศ.๒๕๙๓) ซึ่งจะทำให้อยู่บนเส้นทางควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน ๒ องศา
- ประการที่สาม หลังทศวรรษ ๒๐๕๐ จะดำเนินตามเป้าหมาย IPCC ที่ควบคุมอุณหภูมิไม่เกิน ๒ องศาฯ ซึ่งไทยมีเป้าหมายจะสำเร็จในการสร้างสมดุลระหว่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งและการดูดกลับ ให้เป็นไปได้ในครึ่งหลังทศวรรษ
- เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย มุ่งลดก๊าซจากภาคพลังงานและการขนส่ง ด้วยการจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพ การใช้พลังงานหมุนเวียน และการดูด กักเก็บคาร์บอน
- ประเทศไทยมุ่งหวังคาร์บอนสุทธิในปี ๒๐๖๕ (๒๕๘๘) การบรรลุเป้าหมายได้ด้วยหวังการสนับสนุนด้านงบประมาณและเทคโนโลยีจากประเทศพัฒนาแล้ว
- แนวทาง เพิ่มส่วนแบ่งตลาดรถไฟฟ้าให้ได้ร้อยละ ๖๙ ในปี ๒๐๓๕
- เพิ่มพื้นที่ป่าไม้ ๑๑ ล้านไร่ เพื่อดูดซับคาร์บอน จากปัจจุบัน ๙๑ ล้านตันคาร์บอน เป็น ๑๒๐ ล้านตันคาร์บอน ในปี ๒๐๓๗
- เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ได้ร้อยละ ๕๐ ของกำลังการผลิตพลังงานใหม่ ในปี ๒๐๕๐
ข้อตกลงที่ไทยยังไม่ลงนาม
- ข้อตกลงการลดการพึ่งพาพลังงานถ่านหิน (ยังอยากจะพึ่งพาพลังงานถ่านหิน ทั้งผลิตและรับซื้อ)
- ข้อตกลงการลดปล่อยก๊าซมีเทน ในปี ๒๐๓๐ (ไม่ลดเกษตรเชิงเดี่ยว)
- ข้อตกยุติการตัดไม้ทำลายป่า (มีประเด็นติดขัดเรื่องชนพื้นเมือง ชุมชนท้องถิ่น)
กระแสการขับเคลื่อนในสังคมไทย
- รัฐบาลสร้างกระแสจากความสำเร็จการลดการปล่อยก๊าซภาคพลังงาน และเป้าหมายใหม่ลดก๊าซร้อยละ ๕๐ ในปี ๒๐๕๐ และเสนอทิศทางธุรกิจรถไฟฟ้า แต่ก็ถูกตั้งคำถามต่อการตั้งเป้าหมายที่ไม่สมจริง ความเป็นไปได้เพราะยังพึ่งพาภาคพลังงานฟอสซิล ขณะที่เริ่มออกนโยบาย กฎหมาย เช่น ร่าง พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, เป้าหมายปลูกป่า ๑๑ ล้านไร่, การพัฒนากลไกตลาดคาร์บอนสมัครใจ ฯลฯ
- ภาคเอกชน เกิดกลุ่ม Global Compact, สภาอุตสาหกรรม กำลังใช้วิกฤติเป็นโอกาส เตรียมจัดตั้งระบบตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ และกำลังให้ความสนใจการปลูกป่าคาร์บอนเครดิต
- ภาควิชาการ เช่น สกสว. TDRI อยู่ในกระแสหลักเศรษฐศาสตร์ CC แสวงหา green growth
ภาคประชาสังคม มีหลายกลุ่ม
- คนรุ่นใหม่ สนใจปัญหาโลกร้อนในมิติความเป็นธรรมของคนรุ่นใหม่ และข้อถกเถียงทางแนวคิด
- ประชาชนคนเมือง มองปัญหารูปธรรมมากกว่า เช่น พลาสติก ฝุ่น ฯลฯ
- ประชาสังคมฐานรากหญ้า เช่น ชุมชนท้องถิ่น กลุ่มเกษตรกร สนใจผลกระทบ การปรับตัว cc ต่อการดำรงชีพและปัญหาทางนโยบาย cc ที่รัฐจะนำมาใช้ว่ากระทบชุมชนหรือไม่ อย่างไร
นโยบายคาร์บอนเครดิต
- อบก.เริ่มโครงการคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ
- กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรชายฝั่งออกระเบียบคาร์บอนเครดิตแล้ว ส่วนกรมอุทยานฯ ร่วมกับธนาคารโลก พัฒนา REDD+
- สภาอุตสาหกรรม จะประกาศจัดตั้งสถาบันคาร์บอนเครดิตใน กพ.๖๕
- ร่าง พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งรับรองคาร์บอนเครดิต จะเข้าสู่ ครม.ราว มค.๖๕
สถานการณ์เชิงนโยบาย กฎมาย และคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้
- ยุทธศาสตร์ชาติ พื้นที่สีเขียวร้อยละ ๕๐ และ ร้อยละ ๔๐ เป็นป่า
- นโยบายป่าไม้ ให้มีพื้นที่ป่าไม้ร้อย ๔๐ ป่าอนุรักษ์ ๒๕ % ป่าเศรษฐกิจ ๑๕ ภายใน ๒๕๘๐
- ๑๐ กันยายน ๖๔ TGOs จัดประชุมร่วมกับ กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ถึงแนวทาง เงื่อนไขการสนับสนุนการปลูกป่าโดยภาคเอกชนในพื้นที่ของรัฐ โดยเบื้องต้นมีแนวทาง โครงการ T-VER กับการแลกเปลี่ยนเครดิตภาคสมัครใจ
- เกิดความตื่นตัวของภาคเอกชนอย่างกว้างขวาง เช่น กฝผ. ที่จัดทำโครงการปลูกป่าชายเลน ๑ ล้านไร่
ร่างอนุบัญญัติ ตามมาตรา ๑๘ ประกอบ พรบ.ป่าชุมชน ๒๕๖๒ ระบุสัดส่วนการแบ่งปันผลประโยชน์จากคาร์บอน ป่าปลูกใหม่ (เอกชน:รัฐ ๙๐:๑๐) ป่าฟื้นฟู/ป่าเดิม (ชุมชน:เอกชน:รัฐ ๕๐:๔๐:๑๐)
รัฐพันลึก ในนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- กลุ่มทุนผูกขาดในระบบพลังงาน (บริษัท Gulf, กลุ่มประโยชน์ในองค์กรนโยบายพลังงาน)
- กลุ่มทุนผูกขาดด้านการเกษตร
- กลุ่มอุตสาหกรรมคาร์บอน (เป็นธุรกิจให้ของกลุ่มทุนที่มีอยู่)
ข้อเสนอเชิงนโยบาย
- กำหนดเป้าหมายการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกโดยใช้ฐานการปล่อยในปัจจุบัน กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิลงครึ่งหนึ่งภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ และลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิในภาคการผลิตไฟฟ้าเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ.๒๕๘๓ ลดการปล่อยให้เป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. ๒๕๙๓
- ก้าวผ่านการใช้พลังงานถ่านหิน พลังงานฟอลซิลไปสู่พลังงานหมุนเวียน โดยจัดทำแผนการเปลี่ยนผ่านที่เริ่มต้นทันที ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในระดับครัวเรือน ธุรกิจ หน่วยงานราชการโดยเริ่มจากหน่วยงานในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- การอนุรักษ์และการฟื้นฟูป่า รวมทั้งการส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่ไม้ยืนต้นในพื้นที่เกษตรกรรมและเอกชนเป็นเครื่องมือสำคัญในการดูดซับคาร์บอน โดยไม่ผลักภาระการดูดซับคาร์บอนไปทดแทนการปล่อยคาร์บอนของผู้ปล่อยคาร์บอน เป็นเรื่องที่แยกจากการ มาเบี่ยงเบนเป้าหมายการลดก๊าซภาคพลังงาน อุตสาหกรรม และเกษตรพาณิชย์
- ยุติการนำระบบตลาดคาร์บอน มาเบี่ยงเบนเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก จัดการปัญหาความไม่เป็นธรรมสภาพภูมิอากาศและสังคม
- สร้างธรรมาภิบาล กระจายอำนาจระบบพลังงาน ยุติระบบผูกขาด และการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลโดยด่วน และแทนที่ด้วยพลังงานหมุนเวียนที่ประชาชนมีส่วนร่วม
- ปฏิรูปภาคเกษตรกรรมจากเกษตรเชิงเดี่ยวสู่เกษตรนิเวศหรือเกษตรกรรมยั่งยืน
- ปฏิรูปการจัดการป่าโดยกระจายอำนาจสู่ชุมชนและสังคม (โดยไม่เอาคาร์บอนเครดิตมาแอบแฝง)
- อนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศทะเลและชายฝั่ง และทบทวนโครงการพัฒนาชายฝั่งให้อยู่บนแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นธรรมเป็นอันดับต้น
- จัดให้มีกฎหมายและกลไกและมาตรการภาคอุตสาหกรรม บัญชีรายชื่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุด สนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก ห้ามนำเข้าเศษวัสดุใช้แล้วและของเสียประเภทต่าง ๆ ลดปริมาณและจัดการของเสียภาคอุตสาหกรรม ส่งเสริมและกำกับให้คัดแยกและลดปริมาณของเสียจากชุมชนตั้งแต่ต้นทาง
- ให้ความสำคัญต่อการลดผลกระทบและส่งเสริมศักยภาพการปรับตัวของชุมชน เกษตร คนยากจน
- กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ตอบสนองต่อปัญหาในเพศที่แตกต่างอย่างเท่าเทียม ส่งเสริมความเข้มแข็งของผู้หญิง และกลุ่มเปราะบางต่างๆ และขยายการมีส่วนร่วมในนโยบาย
- ส่วนราชการ รัฐสภาและมหาวิทยาลัยต่างๆ ควรดำเนินการเพื่อเป็นตัวอย่าง
- รัฐบาลควรกำหนดนโยบายที่เอื้อให้ประชาชนร่วมรับผิดชอบต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นธรรม
แลกเปลี่ยนจากผู้เข้าร่วมประชุม
๑) นางสาวเกศินี แกว่นเจริญ มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน อยากทราบว่ากรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทำเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านไหนบ้าง
– กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม จัดนิทรรศการร่วมกับภาคเอกชน และร่วมกับ SCG ในการใช้เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน มีการไปเรียนรู้จากประเทศต่างๆ เพื่อเรียนรู้เทคโนโลยีพื้นฐานมาพัฒนาเป็นนวัตกรรมของตัวเอง หาความรู้เพื่อต่อยอดให้รวดเร็วมากขึ้น สิ่งที่ได้เรียนรู้จากกการสนับสนุนงบประมาณเรื่องโลกร้อนในพื้นที่ ให้ดึง เป็นตัวอย่างที่ดี ในพื้นที่ ดึงออกมาให้เห็นจะสามารถทำให้แหล่งทุนเห็นชัดเจนมากขึ้น
– ภาคเอกชนจะไปไกลกว่าประเทศอื่น เราสามารถแยกเตียงนอนมารีไซเคิลได้ เปลี่ยนเตียงเป็นการเช่า เพื่อลดต้นทุนของโรงแรม และครบ ๕ ปี นำมารีไซเคิลได้ และทางยุโรป เชิญภาคเอกชนในไทยเป็นวิทยากร
– ประเทศสวีเดน ในเรื่องถ่านหิน เค้าพยายามปรับเรื่องการลดใช้ถ่านหินมานาน จนสามารถประกาศได้แล้ว ต่างจากของประเทศไทย ที่ต้องใช้เวลาในการปรับตัวเช่นกัน
– ประเทศเนเธอแลนด์ ได้ประสบการณ์ในการถ่ายเทน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยใช้การมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ และมีหลากหลายวิชาในการช่วยการลดโลกร้อน ทุกประเทศยังมีปัญหาและช่องว่าง แต่ต้องช่วยกัน
– กองส่งเสริมความร่วมมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรมส่งเสริม จะเน้นการสร้างความร่วมมือและต่อยอดเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
๒) นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ
ประเด็นโลกร้อนเป็นประเด็นใหญ่ที่ครอบคลุมทุกเรื่อง ทั้งเรื่องพลังงาน เกษตร อุตสาหกรรม ฝุ่นควัน เราต้องทำให้เป็นประเด็นของทุกคน กระบวนการที่สำคัญคือทำอย่างไรให้ทุกคนรู้ว่าประเด็นนี้เป็นประเด็นของตัวเอง อยากให้กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนเรื่องนี้ และเครือข่ายในการสร้างพลังของการสร้างการเปลี่ยนแปลง ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่สามรถแก้ได้
หากเราอยากแก้อย่างจริงจัง ต้องเปลี่ยนจาก อีเวนท์ เป็นมูฟเม้น ซึ่งเป็นมูฟเม้นท์ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง จริง ซึ่งต้องใช้พลังของพวกเราทุกคน
๓) กลุ่มผู้หญิงหัวร้อน (เรียกร้องความเป็นธรรมเรื่องโลกร้อน)
อยากให้เครือข่ายทุกเครือข่าย เรียกร้องให้เข้าถึงกองทุนได้โดยไม่มีเงื่อนไข เนื่องจากทุกคน ทุกอาชีพ ได้รับผลกระทบจากโลกร้อน เช่นอาชีพเลี้ยงวัว ฟางแพง ไม่มีน้ำ ฯลฯ
เห็นด้วยกับการใช้ทุนภายนอกประเทศ และเห็นด้วยที่เราต้องเชื่อมโยงเรื่องโลกร้อนกับหลายภาคส่วน ให้เป็นเรื่องสาธารณะ
- การลดคาร์บอน ประเทศไทย มีการดูแลรักษาทรัพยากรป่า ชายฝั่ง และเกษตรอินทรี
- เรื่องเทคโนโลยี
- การปรับเปลี่ยน เรามองแค่การปรับเปลี่ยนเชิงภูมิทัศน์ เน้นเฉพาะขนาดใหญ่ และไม่สอดคลองกับวิถีชุมชนเล็กๆ
ข้อเสนอ
- อยากให้ภาครัฐสามารถกระจายโครงสร้างการจัดการกองทุน
- อยากให้สนับสนุนชุมชน และภาคประชาสังคมในการจัดการโลกร้อน
๔) อยากส่งเสริมการใช้รถจักรยาน เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ อยากร่วมกับกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมในการใช้จักรยาน ตามสโลแกน สะดวก กรีน สะอาด
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเชื่อมโยงกับวิถีชีวิต กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมมีหลายพันธะกิจที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นหน่วยประสานกลางในการเสริมพลังความร่วมมือในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในหารให้การศึกษา อบรม และสร้างกลไกในการทำงาน โดยมีเครือข่ายความร่วมมือในหลายภาคส่วนโดยเฉพาะภาคเอกชน ที่จะมุ่งสู่เป้าหมายการทำงานในอนาคตร่วมกัน
- ผู้แทนกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
กองทุน GEPF เป็นกองทุนที่ใหญ่ และต้องใช้เวลา แต่ต้องมีเป้าหมายร่วมกันในการขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพและคาดหวังว่าเราจะมีความร่วมมือในอนาคต
นายกฤษฎา บุญชัย
ความเสี่ยง
ประเทศไทยอยู่ในความเสี่ยงอันดับที่ ๘ – ๙ ของโลก พิจารณาจาก
- จากภัยพิบัติ น้ำท่วม ฝนแล้ง เราขาดระบบการจัดการ สร้างภูมิคุ้มกันของตัวเองให้เกิดความเข้มแข็งที่เรายังคงแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ไม่พัฒนาและแก้ไข ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตเส้นศูนย์สูตร
- ผลผลิต ปัญหาผลผลิตตกต่ำ เกษตรกรต้องเปลี่ยนการปลูกพืช จากการรุกล้ำของน้ำทะเล ผลผลิตข้าวลดลง ความมั่นคงด้านอาหารลดลง การประมงที่สัตว์น้ำลดลง ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐยังไม่เข้าใจ และเทรนส่วนใหญ่ยังมุ่งเน้นการจัดการคาร์บอน
- สุขภาพ
- เศรษฐกิจและวิถีชีวิตของประชาชน
การปรับตัวที่ผิดพลาด ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ และการจัดการไฟป่า และการสร้างเขื่อน เพื่อผลิตไฟฟ้า ที่ทำลายป่ายังไม่นับเขื่อนที่ใช้ฟอสซิล งานศึกษามากมายที่ชุมชนจัดการป่า ดูดซับคาร์บอนได้เท่าไหร่ ชุมชนชาวกะเหรี่ยง ทำเกษตรอินทรีย์ เราสามารถให้รางวัลชุมชนที่เป็นนวัตกรรมได้
ข้อเสนอ : กำหนดเป้าหมายแบบลดปริมาณกาซเทียบกับปีฐาน(ไม่ใช่ลดจากการคาดคาร์บอนในอนาคต) โดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากปี ตั้งแต่ปี ๒๐๒๑เป็นต้นไป ไม่ปล่อยสูงกว่าปี ๒๐๑๙ ก่อนสถานการณ์โควิด-๑๙
ห้องย่อย : ๒ การป่าไม้ไทย ความเป็นธรรม ความยั่งยืนและสมดุลของระบบนิเวศ
ดำเนินรายการโดย นายเฉลิมชัย วัดจัง กลุ่มจับตาปัญหาที่ดิน
๑. ภาพรวมผลกระทบด้านป่าไม้ของไทย จากการเจรจา COP 26
โดย นายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการ กรีนพีช ประเทศไทย
ผู้ดำเนินรายการ จากการประชุมที่สก็อตแลนด์ การพยายามที่ทำให้อุณหภูมิของโลกไม่เพิ่มขึ้นไปอีกนั้นยังมีความพยายามไม่เพียงพอ มีความสำคัญเรื่องการซื้อขายคาร์บอนเข้ามา ทำให้เห็นความสำคัญของสิทธิชุมชน
คุณธารา : ประเด็นปฏิญญา ที่สะท้อนให้เห็นว่าด้วยเรื่องของป่าไม้และการปฏิรูปที่ดิน ในรายละเอียดนั้น ให้คำประกาศเกี่ยวของกับป่าไม้ เช่น ธนาคารโลก องค์กรที่ทำหน้าที่จัดการสินทรัพย์รายใหญ่ของยุโรป ตั้งงบสามพันล้านดอลล่า เพื่อฟื้นฟูป่า และงบสี่พันล้านดอนล่าส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืน
คาร์บอนเครดิต ตอนนี้ท่านรัฐมนตรีกำลังผลักดันเรื่อง คาร์บอนเครดิต เหมืองทองคำสีเขียว และเป็นการผลักดันของรัฐบาลทั่วโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทาย และควรจะมีการพูดคุยกันอย่างจริงจัง เพราะจะมีเรื่องการแยกป่าออกจากคนซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง
สื่อมวลชนยกย่องปฎิญญานี้ ลงนาม ๑๐๕ ประเทศ ถ้าเราไม่ดูพฤติกรรมของประเทศที่มีป่าเยอะๆ จะเห็นว่าจะไม่ได้พูดถึงการบริโภคสัตว์ใหญ่ เช่นการถางป่าเพื่อเลี้ยงวัว มีสองประเทศที่ลงนามก่อนคือ บราซิล และรัสเซีย
ในลุ่มน้ำคองโก ให้ความสำคัญถึงห่วงโซ่อาหาร เป็นจุดหลักที่มีความสำคัญ ที่จะยุติการตัดไม้ทำลายป่า ปฎิญญามีช่องโหว่ในการทำลายป่า เพราะไม่ได้พูดถึงเรื่องระบบอาหาร ห่วงโซ่อุปทาน การทำเรื่องคาร์บอนเครดิตโดยการยึดป่าจากคนนั้นเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง
๒ ) ชุดความรู้/ประสบการณ์ของชุมชน กับการแก้ไขปัญหาป่าไม้ที่ดิน
โดย คุณณัฐวุฒิ อุปปะ กรรมการบริหารสมัชชาองค์กรเอกชนฯ
กฎหมายและสิทธิมนุษยชน/ การจัดการป่าไม้ในประเทศไทย
เดิมรัฐไทยไม่ได้มุ่งสู่การอนุรักษ์ เนื่องการสินค้าส่งออกของไทยในอดีตนั้นคือ ไม้สัก มีการยอมให้บริษัทจากอังกฤษ เข้ามาสัมปทานป่าไม้ทางภาคเหนือของไทย ส่งออกไปยังลิเวอร์พูล กระบวนการป่าไม้ของไทยเริ่มต้นไม่ได้มองป่าไม้เพื่อการอนุรักษ์ แต่ตั้งขึ้นเพื่อการค้า อธิบดีกรมป่าไม้คนแรกจัดการป่าไม้ขึ้นเพื่อการค้า มีหลักฐานชุมชนที่ตั้งขึ้นเพื่อการขนส่งไม้ให้กับบริษัท ต่อมามีการจัดการเพื่อควบคุมการใช้ทรัพยากร เกินการจัดตั้งกลุ่มขึ้นสองฝั่ง
พ.ร.บ. ป่าไม้ ๒๔๘๔ ที่ก่อตั้ังขึ้นก็ยังไม่ตอบโจทย์การถือครองที่ดินของประชาชนเป็นหลัก ยังมีการเอื้อผลประโยชน์ต่อระบบศักดินา ยังไม่มีกฎหมายใดเอื้อต่อเกษตรกร และประชาชนทั่วไปเรื่องที่ดินมีการต่อสู้มาโดยตลอด และมีการยกเลิกการสัมปทานป่าในปี ๒๕๓๕
หลังจากการรัฐประหารปี ๕๗ มีการผลักดันร่าง พรบ. ขึ้นมา ๒ ฉบับ (สนช.) แต่ร่างขึ้นมาด้วยหน่วยงานราชการ ไม่มีส่วนร่วมของประชาชน จึงมีการทักท้วงจากภาคประชาชนเกิดขึ้น เกิดการประท้วงรัฐบาลในเรื่องของ พรบ. มีการรวบรวมรายชื่อไปยื่นเพื่อให้ชะลอ แต่ไม่ได้รับการตอบรับ
พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไม่มีคำว่าประชาชนแม้แต่บรรทัดเดียว การออก พ.ร.บ. นี้เป็นครั้งแรกที่อนุญาติให้ใช้ที่ดินเพื่อทำกิน แต่เจ้าของพื้นที่กลายเป็นผู้บุกรุก และถูกบังคับให้ขออนุญาติใช้ที่ดินคราวละ ๒๐ ปี ซึ่งไม่เป็นธรรม (ไม่มีการพิจารณาอายุการอยู่อาศัยก่อนการประกาศ)
โครงการ One map ของรัฐบาลไม่มีการดำเนินการต่อให้เกิดเป็นรูปธรรม เกิดการรวบรวมข้อมูลได้ทั้งหมด ๔๕๘.๔๙ ล้านไร่ เสนอต่อที่ประชุมสภาแต่เป็นข้อมูลที่ม่ตรงตามความเป็นจริง แสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อม และเกิดความผิดพลาด เพราะที่ดินจากการสำรวจเกินจากความจริง ๑๓๐ ล้านไร่ กฎหมายที่เกิดขึ้นเป็นการปิดสวิทซ์ชุมชน มีเพียงการใช้อำนาจของรัฐบังคับใช้ สิทธิในการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนถูกจำกัดสิทธิ
ข้อเสนอคือ ให้นำกฎหมายไปทดลองใช้ในพื้นที่ ว่าดีจริงหรือไม่ ค่อยประกาศใช้
พ.ร.บ. ป่าชุมชน พัฒนาการจากสัมปทานป่าไม้ สู่ “ป่าชุมชน” ประเทศไทยมีมายาคติตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันว่า ชาวเขาเป็นผู้ทำลายป่าไม้ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ ป่าชุมชนควรจัดตั้งตามภูมินิเวศของพื้นที่นั้นๆ แต่ พ.ร.บ. ป่าชุมชน ไม่สอดคล้องกับภูมินิเวศพื้นที่ ใช้ขนาดพื้นที่เป็นตัวกำหนดแทนการพิจารณาตามระบบนิเวศและการใช้ประโยชน์ของชุมชน
ข้อเสนอ
- ควรหยุดกระบวนการ ใช้ พ.ร.บ. ทั้ง ๓ ไว้ก่อน
- สิ่งแวดล้อมและการเมืองไม่สามารถแยกออกจากกันได้
คุณณัฐญา แท่นนาค เครือข่ายปฎิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด กระบวนการประชาชนสังคมที่เป็นธรรม (ประเด็นเทือกเขาบรรทัด)
การบริหารจัดการที่อยู่ในชุมชนสร้างความเป็นธรรมเพื่อสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ ส่งเสริมให้ชาวบ้านสร้างป่าที่สามารถหากินได้ในชุมชน ชุมชนสามารถดำเนินการได้กับที่ดินทุกประเภท รูปแบบบริหารจัดการขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่และวิถีของชุมชน มีการจัดตั้งคณะกรรมการในการบริหารจัดการชุมชน มีกฎ กติการ่วมกันในชุมชน
การดำเนินงานโฉนดชุมชนเน้นให้มีการสืบทอดต่อลูกหลานได้ มีการจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่ จัดแปลงที่ดินให้ชัดเจน จัดตั้งกองทุนขับเคลื่อนของชุมชน มีการสำรวจป่า สร้างแผนการจัดการขึ้นมาในชุมชน ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน พืชเศรษฐกิจ สมุนไพรในท้องถิ่น ทำการเกษตรที่ยึดตามฐานทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชน มีการจัดการขยะในชุมชน ส่งเสริมให้เกิดการทำการเกษตรปลอดสารเคมี สร้างจิตสำนึกในชุมชน มีการร่วมมือเป็นหูเป็นตาดูแลทรัพยากรในชุมชน
ดังนั้นเครื่องมือโฉนดชุมชนคือเครื่องมือที่อธิบายได้ว่า ชุมชนไม่ได้ทำลายป่าแต่เป็นการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าให้เกิดเป็นรูปธรรม และจะผลักดันให้เกิดโฉนดชุมชนในพื้นที่อื่นตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ที่มีความหลากหลายแตกต่างกัน
ช่วงถาม-ตอบ
ถาม : สิ่งที่จะเกิดขึ้นในชุมชนภายใต้สถานการ์ปัจจุบันจะเป็นอย่างไร ในเรื่องคาร์บอนเครดิต
คุณณัฐวุฒิ (ตอบ) : ต้องตามนโยบายให้ทัน และตั้งคำถามว่า จะเอาพื้นที่ ๑ ล้านไร่จากไหนมาปลูกป่า จึงเสนอให้ใช้พื้นที่ที่ได้จากการสำรวจของรัฐนั่นแหละมาปลูกป่าเพิ่ม คิดว่าต้องทบทวนเรื่องแผนอนุรักษ์ และชุมชนมีสิทธิเรียกร้องในพื้นที่ของตน เรียกร้องให้เกิดกฎหมายที่เกิดการจัดการที่หลากหลาย ตามพื้นที่ที่หลากหลายในประเทศไทยอย่างเหมาะสม เพื่อให้ชุมชนสามารถออกแบบการบริหารจัดการป่าได้ตามบริบทพื้นที่นั้นๆ และมีการนำองค์ความรู้ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน สื่อสารออกมาให้สาธารณะรู้ ยกตัวอย่างเช่น การพูดถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำไร่หมุนเวียน ไร่เลื่อนลอย ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน
ถาม : จะทำอย่างไรให้เกิดรูปธรรมในเรื่องโฉนดชุมชน
คุณณัฐญา (ตอบ) : ต้องผลักดันให้เกิดการสร้างกฎหมายโฉนดชุมชน มีสำนักงานโฉนดชุมชนขึ้นให้ได้
แลกเปลี่ยนความเห็นในห้องประชุม
เสนอ : ตั้งแต่นั่งฟัง ยังไม่เห็นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับพืชเศรษฐกิจ ในเรื่องสวนยางพาราซึ่งเป็นพืชเชิงเดี่ยว และมีพื้นที่ค่อนข้างมาก เราจะทำอย่างไรให้สวนยางพาราเกิดความหลากหลายในระบบนิเวศขึ้น ทางสมาคมได้ขับเคลื่อนเรื่องนี้มานาน เรื่องที่ว่าจะทำอย่างไรให้เกิดความหลากหลายในพื้นที่ และมีการทำโมเดลขึ้นมาเสนอการยางแห่งประเทศไทย เรื่องการทำสวนยางให้เกิดความหลากหลาย ไม่ใช่การไปไล่โค่นล้มต้นยางเพื่อไล่คนออกจากพื้นที่ และทำสวนยางเหล่านั้นให้กลายเป็นป่าแทน โดยไม่ต้องไปโค่นล้มต้นยางเหล่านั้น ทำอย่างไรให้เราเปลี่ยนสวนยางเชิงเดี่ยวให้กลายเป็นป่ายางที่มีความหลากหลาย
เสนอ/แลกเปลี่ยน : ไม่อยากส่งเสริมการทำคาร์บอนเครดิต แต่เรายอมรับการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรอยู่แล้ว ไม่ต้องการให้รัฐรับนโยบายคาร์บอนเครดิต ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายที่ออกมาโดยที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วม ฝากข้อเสนออีกอย่างคือให้ยกเลิกนิรโทษกรรมคดีเกี่ยวกับป่าไม้
ข้อเสนอมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน มีข้อกังวลเรื่องการขึ้นทะเบียนกับอุทยาน เพราะไม่มีข้อมุลที่ชัดเจน ชาวบ้านไม่ได้รับการชี้แจงจากอุทยานก่อนจะประกาศใช้กฎหมาย อีกหนึ่งเรื่องคือโครงการพื้นที่นำร่องคาร์บอนเครดิต ชุมชนมีข้อกังวลว่าจะเกิดข้อผิดพลาดจนนำไปสู่การดำเนินคดีกับชาวบ้าน
ข้อกังวลจากชุมชนบ้านเป็ด ตราด ชุมชนมีการลุกขึ้นมาจัดการพื้นที่ในชุมชน มีการดูแลฟื้นฟูป่าอยู่แล้ว เมื่อจะมีการขึ้นทะเบียนชมชนชายฝั่งนั้น ชุมชนจึงมีความกังวลว่าถ้าเกิดการทำคาร์บอนเครดิต ชุมชนจะได้อะไร อีกข้อคือการขึ้นทะเบียนนชุมชนชายฝั่งนั้นจะเกิดความขัดแย้งไหม ชุมชนจะยังสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์และทำมาหากินดังเดิมได้หรือไม่
ห้องย่อย : ๓ ระบบนิเวศชุมชน ฐานชีวิต การกินดีอยู่ดี และ การเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจและโรคอุบัติใหม่
ดำเนินรายการโดย นายสิริศักดิ์ สะดวก และ นายมานพ สนิท กรรมการบริหารสมัชชาองค์กรเอกชนฯ
๑.นำเสนอระบบนิเวศชุมชน
- ระบบนิเวศป่าผู้แทนชุมชนชาติพันธุ์ปากะยอ ต.แม่แดด จ.เชียงใหม่
พี่น้องมีคำถามอย่างต่อเนื่องว่า ทำไมสถานการณ์ไฟป่า ทำไมไม่สามารถจัดการได้อย่างเบ็ดเสร็จเจ้าหน้าที่มูลนิธิการพัฒนาที่ยั่งยืน จงรักษาไว้ให้เกิดความสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการ
การอนุรักษ์ทรัพยากรฯ สิ่งที่ชุมชนต้องดำเนินการขึ้นแรก คือ ต้องมีสติ ต้องปรับตัว พี่น้องเราต้องหันกลับมาดูแลกันเอง โดยไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากภายนอก ใช้ภูมิปัญญา ความเชื่อ มาจัดการร่วมกันมากกว่า
ภูมิปัญญาคือ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับทรัพยากรฯ เป็นสิ่งคู่กัน (ฐานทรัพยากร วิถีชีวิต) ในการปรับตัว ความเข้มแข็งของพื้นที่ (คนกับป่า) อนุรักษ์ ปกป้อง ใช้ประโยชน์ (หาของป่า อนุรักษ์ การจัดการไฟป่า)
- ระบบนิเวศป่าบ้านแสนใจใหม่ ต.แม่สลองใน จ.เชียงราย
จุฑามาศ ราศประสิทธิ์ ผู้แทนชุมชนชาติพันธุ์อาข่า
- ความเชื่อของชุมชนในการรักษาป่า ต้องรักษาพื้นที่ไว้ให้วิญญาณบรรพชนมีที่อยู่อาศัย ป่าเริ่มลดลงเนื่องจากประชากรในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น มีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ มีการแบ่งทรัพยากรใช้อย่างเหมาะสม มีการจัดระเบียบร่วมกัน ป่าทั้งสิ้น ๓,๐๐๐ ไร่ที่รักษาไว้ ลูกหลานที่ออกไปทำงานนอกบ้านได้กลับขึ้นดอน (ใช้ทรัพยากรในพื้นที่จาก ป่า แม่น้ำ ลำห้วย) รวมทั้งยาสมุนไพร สถานการณ์โควิดส่งผลให้เกิดการฟื้นฟูด้านภูมิปัญญา(หาของป่า เก็บเห็ด เก็บสมุนไพร) มีสมุนไพรเดิมๆ กลับคืนมา ผักหลาย ๆ ชนิดชาวบ้านทานได้ ทานเป็น
- ความมั่นคงทางด้านอาหารเพื่อให้ชุมชนมีอาหารกิน เช่น ปลีกล้วยนำมาดอง นำมาแปรรูปเพิ่มเติม การเลี้ยงสัตว์ก็มากขึ้น แปรรูปอาหารเพื่อให้มีอาหารกิน มีการเลี้ยงด้วงสาคู เลี้ยงหมู ไก่ เพื่อความมั่นคงทางด้านอาหาร การใช้ทรัพยากรป่า มีกติกาที่เข้มข้นมากขึ้น กำหนดกการใช้ทรัพยากร เช่นในเรื่องการตัดไม้ กำหนดขนาดไม้ ผู้หญิงลุกขึ้นมาเป็นผู้นำมากขึ้น
- ระบบนิเวศชายฝั่งทะเลบ้านเกร็ดใน จ.ตราด
ผู้แทนป่าชายเลนสร้างรายได้ชุมชนบ้านเกร็ดใน จ.ตราด ใช้ป่าชายเลนเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำเป็นแหล่งอาหารที่มีราคาแพง (ปูดำ และ กั้ง) อาชีพหลัก พี่น้องไม่มีที่ทำมาหากิน แต่พี่น้องมีพื้นที่ทรัพยากรป่าชายเลน ๑๒,๐๐๐ ไร่ การบริหารจัดการและการใช้ทรัพยากรฯ ขอแค่ปีละ ครั้ง (๖ เดือน) เนื่องจากปูแสมวางไข่ ใช้ข้อกำหนดกติการ่วมกันในการจัดการทรัพยากรให้เกิดความยั่งยืน สัตว์น้ำอยู่ได้ เกิดผืนป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ ป่าเกร็ดในให้ชั้นดิน ป่า รวมทั้งพันธุ์ไม้ที่อยู่ในป่าขึ้นตามชั้นดินชั้นป่า ดูสภาพธรรมชาติที่ต้นไม้ขึ้นเดิม สัตว์ที่อยู่ในป่าถ้าหาไม่มีความสมบูรณ์สัตว์ป่าก็ไม่สามารถอยู่ได้เช่นกัน ชั้นป่าที่สมบูรณ์ต้องสามารถปรับสภาพให้กับสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลนด้วย ป่าชายเลนอยู่และใช้ประโยชน์ “อยู่เก็บร้อย คอยเก็บล้าน” ปูแสมกิโลละ ๑๐๐ บาท มีอาชีพรองรับพี่น้องในชุมชนที่ตกงาน
- ระบบนิเวศชายฝั่งทะเล ผู้แทนบ้านท่าคลอง ปากคลอง นาทุ่งกลาง ต.เกาะกลาง อ.เกาะสันตา
จ.กระบี่
นายชาญชัย หยังดี เป็นงานฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เกาะกลางได้ดำเนินการจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อมและฐานทรัพยากรได้เป็นอย่างดี มีพื้นที่ ๖๐,๐๐๐ กว่าไร่ มีประชากรเกือบ ๙,๐๐๐ คน ช่วงแรกทุกพื้นที่ขาดองค์กความรู้ในการตั้งรับปรับตัวสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้น ต่อมาได้มีการพูดคุยกลุ่มย่อยเล็ก ๆ โดยยึดหลักแผนพัฒนาร่วมกันในกระบี่ ได้รับงบสนับสนุนจากภัยพิบัติเพื่อหาทางออกร่วมกัน สิ่งที่ได้จากการพูดคุย คนตกงานเยอะมาก กระบี่ส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้าง (โรงแรม) หลังจากมีวิกฤตด้านโควิดเกิดขึ้นทำให้ทุกคนกลับบ้าน กลับไปใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่ของตนเอง พี่น้องได้ดำเนินการเรื่องการอนุรักษ์อย่างต่อเนื่อง ทำมาหากินเพื่อปากท้อง จำหน่าย ผลที่เกิดจากการจัดการสิ่งแวดล้อม ทำให้เห็นว่า สิ่งที่ดำเนินการก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย เขตอนุรักษ์ปลากะพงขาว สามารถสร้างรายได้ให้กับพื้นที่ที่ทำเรื่องเขตอนุรักษ์ (ใช้เครื่องมือถูกกฎหมายโดยการตกปลา) ส่วนเครื่องมือที่ผิดกฎหมายไม่สามารถเข้ามาในเขตอนุรักษ์ได้ ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๕สร้างรายได้ให้กับ ๓ ชุมชน จำนวน ๑.๑ ล้านบาท ในช่วงระยะเวลา ๓ เดือน ก.พ. – เม.ย. ปลายปี ๖๕ หอยตะเภา สร้างได้เพิ่มขึ้นอีกจำนวน ๒ ล้านบาท เป็นผลพวงจากการจัดการทรัพยากรฯ เขตอนุรักษ์ปูดำ โดยทำกติการร่วมกัน และกำหนดขนาดในการจับ สิ่งที่ตามมาคือ หอยชักตีน ในพื้นที่หญ้าทะเล พร้อมทั้งกำหนดขนาดการจับหอยชักตีน หอยชักตีนต้องไข่ได้ ๒ รอบถึงจะสามารถนำไปขายได้
- ระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำ ผู้แทนลำน้ำเชบาย บ้านเชียงเพ็งหมู่ที่ ๑ ต.เชียงเพ็ง จ.ยโสธร
อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชาวบ้านให้ความสำคัญ โดยการปลูกป่า ขุดลอกลำน้ำเซบาย พี่น้องลุกขึ้นมาปกป้องวิถีชีวิตของตนเอง นำปลามาบริโภคและจำหน่าย ทุกพื้นที่ที่มีโรงงานมีผลกระทบต่อทรัพยากรอย่างแท้จริง สิ่งที่สามารถทำได้คือ ปลูกต้นไม้เพื่อให้เกิดการซับน้ำ และ การเพาะเลี้ยงของพี่น้องชาวบ้านต้องอยู่ได้ด้วยเช่นกัน (สร้างแหล่งอาหารควบคู่กับการดูแลจัดการทรัพยากรในพื้นที่) อนุรักษ์ อย่างยั่งยืน จิตสำนึก ปลูกต้นไม้
- ระบบนิเวศพื้นที่ลุ่มน้ำอิง นายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
แม่น้ำอิงเป็นแม่น้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ สัมผัสได้จากการลงเรือหาปลา เห็นสัตว์น้ำน้อยใหญ่ ความยิ่งใหญ่ของแม่น้ำโขง (ปลาตั้งแต่ตัวเล็ก ไปจนถึงตัวใหญ่สุด) มองกลับหลัง คนที่เราใช้ชีวิตในการประกอบอาชีพ(หาปลา) ระบบนิเวศแม่น้ำโขงมีการเปลี่ยนแปลง และ ถูกทำลายไปอย่างมาก เรื่องน่าเศร้า คนแม่น้ำโขง ต้องมาเลี้ยงปลาบึก และปลาอื่น ๆ ปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลง และต้องใช้พื้นที่ในการทำมาหากินและที่อยู่อาศัย พื้นที่ชุ่มน้ำยังคงหลงเหลืออยู่ เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ต้องคิดต่อว่า ระหว่างการอนุรักษ์ กับการพัฒนา หรือการใช้ทรัพยากร อยู่ตรงไหน แม่น้ำทุกสายในประเทศไทยถูกพัฒนา แม่น้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ จะมีชีวิตต่ออย่างไร (จะหยุดทำลายโลก แม่น้ำโขง)
- ระบบนิเวศบก ต.คลองกระจง จ.สุโขทัย
นฤมล เข็มทอง ผู้แทนกลุ่มวิสาหกิจชุมชน การทำใบตอง พื้นที่คลองกระจง มีความหลากหลายทางชีวภาพ(กล้วยตานี) อดีต นำใบตองไปตากบนหาดทราย (ให้ทรายดูดใบตองให้แห้ง) นำส่งขายไปประเทศจีน ปัจจุบันไม่นิยมนำใบตองมาใช้ และเป็นพื้นที่ใหญี่สุดในการผลิตใบตอง ต่อม่ราคาใบตองลดลง และได้เข้าหาหน่วยงานเพื่อยื่น GI เมื่อปี ๒๕๖๑ นำภูมิปัญญา (ตากแห้ง) แปรรูปเป็นภาชนะ เพื่อใช้แทนโฟม งานกฐินมีโรงทานที่เยอะมาก ทุกโรงทานต้องมีภาชนะ แต่เป็นโฟมทั้งสิ้น จึงนำใบตองมาแปรรูปเป็นถ้วย และ ภาชนะต่าง ๆ แล้วนำไปใช้ในงานกฐิน เป็นกลุ่มวิสาหกิจแปรรูปภาชนะใส่อาหาร ทางผู้ว่าสนับสนุนงบประมาณให้เบื้องต้น ๕ แสนบาท ได้รับรางวัลจากกรมส่งเสริมฯ “กำจัดขยะมูลฝอยในชุมชน” รวมทั้งได้รับรางวัล ผลิตภัณฑ์ดีเด่น จนมาเป็นศูนย์เรียนรู้ ข่าวสามมิติ มอบเครื่องตัดขอบให้กับกลุ่ม ปัญหาการดูแล ใช้น้ำเยอะ
ส่วนต้นกล้วย หน่อกล้วย ทำในกระบวนการจุลินทรีย์ พื้นที่คลองกระจง สามารถทำการผลิตภัณฑ์ภาชนะใบตอง เก็บไว้เพื่อจำหน่ายได้ มีส่วนละมุด มะปราง กำลังเข้าสู่ GI เช่นกัน ทางสนามบินบางกอก แอลเวล์ เห็นความสำคัญของผู้พิการ (เห็นภาพคลองกระจง การใช้วิถีภูมิปัญญาที่มี ลดภาชนะสิ้นเปลือง)
แลกเปลี่ยน
๑.ดร.อรพรรณ ปราศรัย หยุดทำลาย จริง ๆ แล้วหยุดไม่ได้ เพราะเราเป็นแค่ไม้จิ้มฟัน แต่ต้องหยุดที่เรา โดยให้องค์ความรู้ ใช้ธรรมชาติบำบัด
๒.คุณเรวดี ประเสริฐเจริญสุข : ต้องมีตัวตนเข้าไปขับเคลื่อน รัฐต้องรับรองสิทธิชุมชนก่อน
การอนุรักษ์การฟื้นฟู อำนาจอยู่ที่รัฐ ใช้ภาคปชช.ให้มีส่วนร่วมในการดูแลทรัพยากรฯ ข้อเสนอ ให้แก้กฎหมายคุ้มครองฯ ตัวกฎหมายเกิดข้อจำกัดในการจัดการทรัพยากรฯ
๒.นำเสนอแนวคิดและบทสังเคราะห์องค์ความรู้การบริการของระบบนิเวศจากการศึกษาระบบ
นิเวศชุมชนแบบมีส่วนร่วม
โดย ดร.จตุพร เทียรมา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ประมวลโดยภาพรวม ระบบนิเวศน์ชุมชน สามัญชนเป็นคนริเริ่ม มีฤทธิ์ เสริมแรงให้เกิดการกินดีอยู่ดี ได้อย่างไร แบ่งตามระบบนิเวศตามรายทรัพยากร ๗ พื้นที่ ดังนี้
- ระบบนิเวศน์ ป่าชายเลนปากเกร็ดใน จ.ตราด ระบบนิเวศบริการ ปู เป็นทรัพยากรที่สำคัญ สร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ และ หลากหลาย มีกติกาที่สำคัญในระบบนิเวศน์ มองเป็นองค์รวมทั้งระบบนิเวศเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ มีกติกาชัดเจน ส่งผลต่อการกินดีอยู่ดี ความมั่นคงทางด้านอาหาร ปากท้อง และ เศรษฐกิจ
- ชายฝั่งทะเล ต.เกาะกลาง ระบบนิเวศน์ชุมชนในการเสริมแรงให้กับชุมชน ชุมชนมีความหลากหลาย เริ่มกลับมาทบทวนตนเอง วงพูดคุยหาทางออก เชื่อมโยงเรื่องปากท้อง และการอนุรักษ์หญ้าทะเล ปูดำ ปลากะพง ส่งผลให้เกิดความมั่นคงทางด้านอาหาร และสร้างรายได้ให้กับชุมชน สถานการณ์โควิด เป็นภัยพิบัติหนึ่งที่ทำให้ “คนตกงาน” ส่งผลให้ คนมีอาชีพ มีการใช้ทรัพยากรจากกิจกรรมอนุรักษ์ในพื้นที่
- ระบบนิเวศน์ปากะยอ เชียงใหม่ ภูมิปัญญาดั้งเดิมนำมาใช้ในสถานการณ์โควิดได้แป็นอย่างดีมีความเชื่อ รักษาพันธุ์พืช ได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับทรัพยากรฯ (ป่า / การจัดการไฟป่า หาของป่า อนุรักษ์) ปกป้อง ใช้ประโยชน์
- นิเวศน์ป่าอาข่า เชียงราย ได้อนุรักษ์ป่า ๓,๐๐๐ ไร่ คนกลับขึ้นป่าในการแปรรูปอาหาร สร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับชุมชน
- นิเวศน์ลุ่มมน้ำเซบาย ยโสธร มองเรื่องการอนุรักษ์เป็นเรื่องสำคัญ ปลูกต้นไม้ ความมั่นคงทางด้านอาหาร นโยบายรัฐมีผลกระทบอย่างมาก
- เชียงราย ลำน้ำอิง เดิมอุดมสมบูรณ์มาก ให้กลายเป็นเล็ก ๆ ประมาณ ๒ หมื่นไร่ จาก ๓ แสนไร่ ทบทวนเรื่องความสมดุลหรือไม่ (พื้นที่เป็นคนกำหนด)
- สุโขทัย มีความหลากหลาย ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรฯ และปรับตัวภายใต้วิกฤต และทดลองเรื่องใหม่ ๆ สร้างประโยชน์ สร้างคุณค่า เพื่อลดขยะ และ ลดโฟม เกิดรูปธรรมและใช้ได้จริง
(ทั้ง ๗ ระบบ สร้างแรง เสริมแรง)
องค์ความรู้ด้านระบบนิเวศ เน้นประโยชน์ที่ได้รับจากระบบนิเวศ ระบบนิเวศ มีองค์ประกอบ สายลม แสงแดด สายน้ำ ต้องมีองค์ประกอบทางชีวภาพ และกายภาพ ระบบนิเวศแต่ละระบบมีความแตกต่างกัน มีโครงสร้างของแต่ละระบบ (บรรยายตามภาพนำเสนอ) สิ่งที่สูญเสียคือ การกินดีอยู่ดี โดยมีองค์ประกอบบางอย่างทำให้สูญเสีย โครงสร้างระบบนิเวศ
องค์ประกอบของระบบนิเวศ
ด้านกายภาพ ประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เป็นตัวควบคุมโดยมีลักษณะทางลมฟ้าอากาศ สัญฐานของลุ่มน้ำอุทกวิทยาของลุ่มน้ำ
องค์ประกอบด้านชีวภาพ
เป็นส่วนที่ทำให้เกิดดุลยภาพของระบบนิเวศ ศึกษาถึงองค์ประกอบหรือความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งชนิด ปริมาณ การรวมเป็นกลุ่ม
โครงสร้างระบบนิเวศ
การรวมตัวกันขององค์ประกอบทางกายภาพและชีวภาพทให้เกิดเป็นโครงสร้างที่แต่ละองค์กรประกอบจะมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างกัน
หน้าที่ของระบบนิเวศ
ถิ่นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต รวมไปจนถึง การถ่ายทอดพลังงาน การหมุนเวียนน้ำ การหมุนเวียนธาตุอาหาร และ การแลกเปลี่ยนก๊าซ ประโยชน์ทางอ้อมของระบบนิเวศ เงื่อนไขคุณภาพชีวิต
- การควบคุม
- ภูมิอาการท้องถิ่นและคุณภาพของอากาศ
- การดูดซับและเก็บกักคาร์บอน
- การป้องกันภัยธรรมชาติ
- การบำบัดน้ำและของเสีย
- การป้องกันการพังทลายของดินและการรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน
- การผสมเกสร อาหาร ๗๗ % ต้องมีการผสมเกสร
- การควบคุมทางชีววิทยา หมายถึง การรักษาสมดุลภายในระบบนิเวศ
- การให้ถิ่นที่อยู่อาศัย
- การเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต
- การเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต
- การรักษาความหลากหลายของพันธุกรรม
- วัฒนธรรม
- นันทนาการและการดูแลสุขภาพกาย และ สุขภาพจิต
- การท่องเที่ยว
- สุนทรียภาพ ศิลปะ และการออกแบบ
- ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณและการรักถิ่นฐาน
บทสรุป ระบบนิเวศกับชุมชน เราจะมีชีวิตรอด และ คุณภาพชีวิตที่ดี